กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.75-32.10 จับตากระแสเงินทุนต่างชาติ
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด
(มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.75-32.10 ต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 31.92 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเงินบาทกลับมาแข็งค่าได้เป็นครั้งแรกในรอบ
5 สัปดาห์ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับตัวสูงขึ้น
หลังจีดีพีไตรมาสแรกแข็งแกร่งเกินคาดและผลประมูลพันธบัตรค่อนข้างซบเซา ทั้งนี้
ในสัปดาห์ที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยมูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 1.08
หมื่นล้านบาท ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับเงินยูโรและเงินปอนด์
แต่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนและฟรังก์สวิส
โดยตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในอิตาลีและสเปน
ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อของอังกฤษออกมาต่ำกว่าคาด ส่วนบันทึกของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ
(เฟด) ส่งสัญญาณว่าน่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเร็วๆ นี้
แต่แนวโน้มการคุมเข้มนโยบายในภาพรวมยังเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
โดยเฟดย้ำว่ายอมรับได้กับการที่อัตราเงินเฟ้อจะขึ้นมาเหนือระดับเป้าหมาย
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า ตลาดจะจับตาตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและการเติบโตของค่าจ้างในสหรัฐฯ
สถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ในอิตาลีและสเปน
และราคาน้ำมันดิบซึ่งจะส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ อาทิ
สหรัฐฯ และเยอรมัน หลังจากผลตอบแทนระยะ 10
ปี ของสหรัฐฯ ปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 3% อีกครั้ง นอกจากนี้
ความคืบหน้าของการเจราจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
แนวโน้มการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ
รวมถึงวิกฤติค่าเงินในตุรกีจะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย
อนึ่ง กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี ตั้งข้อสังเกตว่า
การโยกเงินเข้าออกของนักลงทุนต่างชาติระหว่างตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นไทยสลับกันไปจะช่วยจำกัดการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้างในระยะนี้
สำหรับปัจจัยในประเทศ
ตลาดจะให้ความสนใจตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคม
ซึ่งคาดว่ามีสัญญาณเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง และจะส่งผลต่อการคาดการณ์ของตลาดในเรื่องช่วงเวลาที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่กระทรวงการคลังปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวของจีดีพีเป็น 4.5% จากเดิม 4.2% หลังเศรษฐกิจไตรมาสแรกเติบโตสูงถึง
4.8% โดยคาดว่าในปีนี้ มูลค่าส่งออกจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 8%
ขณะที่การลงทุนของภาครัฐเริ่มกลับมาช่วยสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้