Fintech และ เทคโนโลยีสมัยใหม่: ตอบรับโอกาสพร้อมทั้งเข้าใจความเสี่ยงกับกรณีศึกษาประเทศสิงค์โปร์
Disruptive
technology หรือ นวัตกรรมเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ได้สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเศรษกิจทั่วโลก ธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบชัดเจนทั้งแง่บวกและลบจาก
disruptive technology ก็คือธุรกิจการเงินและการธนาคาร
ยิ่งเป็นโลกดิจิตอลมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งจำเป็นต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงยิ่งข้น
ซึ่งไม่เพียงแต่ธุรกิจการเงินการธนาคารเท่านั้น แต่ธุรกิจประเภทอื่น ๆเองต่างก็ได้รับผลกระทบจาก
disruptive technology ด้วยเช่นกัน การที่ธุรกิจต่าง ๆนำเทคโนโลยีมาใช้งาน มีการเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายมากขึ้น
ก็นำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อทั้งตัวบริษัทเองและระบบเครือข่าย ทำให้ธุรกิจต้องแบกรับความเสี่ยงที่ไม่สามารรถคาดการณ์ล่วงหน้าเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
โอกาสมักมาพร้อมกับความเสี่ยง ในข้อดีของเทคโนโลยี
ก็มีความเสี่ยงที่เราต้องระวัง ต้องประเมิน บริหารจัดการและป้องกันอย่างเหมาะสม
ความเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับ Disruptive technology สามารถแบ่งได้เป็นหลายระดับดังต่อไปนี้
ระดับความเสี่ยง
1: ผลกระทบระดับองค์กร
ต้องมีการวิเคราะห์ความซับซ้อนที่เกิดขึ้น
ผู้บริหารด้านความเสี่ยงหรือ CRO (Chief Risk Officer) ของสถาบันการเงินจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการวางกลยุทธ์ในการกำกับดูแลและการควบคุมขององค์กร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของความเสี่ยงในระดับปฏิบัติการ เช่น การป้องกันการฟอกเงิน
และ การต่อต้านการจัดหาเงินทุนของการก่อการร้าย, ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล,
และ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์
ระดับความเสี่ยง
2: ผลกระทบระดับกลุ่มอุตสาหกรรม
ในปัจจุบันองค์กรทางการเงินมีความเสี่ยงอย่างสูงที่การบริการทางด้านการเงินแบบเดิมจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ
เช่น Blockchain
หรือ P2P lending ตัวอย่างการปรับตัวที่หลายองค์กรกำลังเดินหน้าทำคือการ
ร่วมมือกันกับบริษัท Fintech เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด
ระดับความเสี่ยง
3: ผลกระทบระดับบุคคลและสังคม
การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่ๆก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับการปฏิบัติงานขององค์กร
งานพื้นฐานที่ไม่ได้มีความซับซ้อนมีโอกาสสูงที่จะโดนทดแทนโดยระบบอัตโนมัติ ในขณะที่สายงานที่มีความซับซ้อนและต้องการการวิเคราะห์อาจได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น
นี่เป็นสัญญานเตือนให้องค์กรเตรียมพร้อมบุคลากรกับการเปลี่ยนแปลงของความรู้ความชำนาญสำหรับการทำงานในอนาคต
กรณีศึกษา: การรับมือกับความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศสิงค์โปร์
สิงคโปร์เป็นประเทศที่โดดเด่นในด้านการขับเคลื่อนและส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศในทุกส่วนของสังคมมาเป็นเวลานาน รวมถึงการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยีในภูมิภาค
สิงค์โปร์ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมพร้อมๆไปกับการควบคุมและระวัง ที่จะเอื้อการพัฒนาเติบโตของนวัตกรรมที่ยั่งยืน
โดยสิงค์โปร์วางนโยบายและแนวทางปฏิบัติไว้เป็น
3 หัวข้อหลัก ดังต่อไปนี้
1) วิสัยทัศน์: การลงทุนระยะยาวในอนาคต
ภายใต้แผนงาน
“Smart Nation Transformation” รัฐบาลสิงคโปร์ได้ลงทุนจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในการพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
(Industry Transformation Programme) และกองทุนงานวิจัย (National
Research & National Productivity Funds) เพื่อให้มั่นใจว่า
ภาคธุรกิจและวิชาการได้รับแรงจูงใจ และส่งเสริมการลงทุนในการวิจัยเพื่อพัฒนาให้สิงคโปร์เป็นผู้ทำทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี
2)
การศึกษา: การบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถให้เป็นผู้นำในอนาคต
รัฐบาลสิงคโปร์ลงทุนกว่า
145 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ผ่านทางสภาเศรษฐกิจในอนาคต (The Future Economy Council
(FEC)) เพื่อสนับสนุนและเพิ่มทักษะของบุคลากรตนเองโดยใช้โปรแกรมการเรียนรู้ต่าง
ๆ เช่น TechSkills Accelerator (TeSA) และ SkillsFuture
for Digital Workplace เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพลเมืองของประเทศมีความพร้อมที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ
3)
นวัตกรรม: งานวิจัยที่สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรม
เพื่อลดช่องว่างระหว่างงานวิจัยทางวิชาการ(ภาคทฤษฎี) และอุตสาหกรรม(ภาคปฏิบัติ) Agency for Science and Technology
Research (A*STAR) มีโครงการต่าง ๆ เช่น Tech Depot ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงเทคโนโลยีและดิจิตอลโซลูชั่นสำหรับองค์กรในท้องถิ่น
และ Tech Access ซึ่งช่วยให้ องค์กรขนาดกลาง และ ขนาดย่อม (SME)
สามารถเข้าถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีและบุคลากรที่มีความชำนาญได้ นอกจากนั้นรัฐบาลยังให้ความสำคัญไปที่โครงการหุ่นยนต์เพื่อกระตุ้นการใช้หุ่นยนต์ให้แพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการก่อสร้าง
สำหรับอุตสาหกรรมทางการเงินแล้ว
นี่อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับองค์กรที่จะเพิ่มความสามารถและบริการแบบใหม่ รวมถึงวิธีการปรับตัวต่อตลาดและเศรษฐกิจที่พัฒนาตามเทคโนโลยี
โดยการส่งเสริม ความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และความร่วมมือระหว่างองค์กร
การบริหารจัดการความเสี่ยงโดยรวมและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม
ในวันที่
12-16 พฤศจิกายน 2018 สิงคโปร์จะเป็นเจ้าภาพจัดงาน Singapore
FinTech Festival 2018 ซึ่งเป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ
FinTech
ทั่วโลก ซึ่งรวมไปถึงงานที่น่าตื่นเต้น เช่น FinTech
Conference & Exhibition, Global FinTech Hackcelerator Demo Day, AI in
Finance Summit และอื่น ๆ
Deloitte ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของงานนี้ ใคร่ขอเรียนเชิญบริษัท FinTech และสถาบันการเงินรวมไปถึงสมาคมการเงินที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานระดับโลกในครั้งนี้
ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ที่ https://fintechfestival.sg/ และดูข้อมูลเกี่ยวกับ Deloitte
Insight ของงานปีนี้และในอดีตที่: https://www2.deloitte.com/sg/en/pages/financial-services/topics/singapore-fintech-festival.html