“พาณิชย์-DITP”แนะไทยลุยลงทุนอินเดียใน 14 อุตสาหกรรม และร่วมมือสตาร์ทอัปทำธุรกิจ
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เผยรัฐบาลอินเดียเดินหน้าดึงดูดการลงทุนใน
14 สาขาอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบายอินเดียพึ่งตนเอง
สั่งแต่ละรัฐกระตุ้นการลงทุนจริงจัง ชี้เป็นโอกาสไทยเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมอาหาร
เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุตสาหกรรมขั้นกลาง
ระบุยังมีโอกาสร่วมมือกับสตาร์ทอัปอินเดียในการทำธุรกิจด้วย
หลังอินเดียหนุนสตาร์ทอัปเต็มสูบ
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์
อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า
ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้มอบหมายให้กรมฯ
สำรวจลู่ทางและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยในประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดได้รับข้อมูลจากนางสาวสุพัตรา แสวงศรี
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
ถึงโอกาสการเข้าไปลงทุนในอินเดีย
หลังจากที่รัฐบาลอินเดียได้มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนใน 14 สาขาอุตสาหกรรมภายใต้นโยบายอินเดียพึ่งตนเอง
และการลงทุนร่วมกับสตาร์ทอัป เพื่อขยายตลาดในอินเดีย
โดยทูตพาณิชย์ได้รายงานรายละเอียดเพิ่มเติมว่าเมื่อเร็วๆ นี้
กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและการค้าภายใน (DPIIT) ได้ทบทวนและประสานงานกับหน่วยงานต่าง
ๆ เพื่อจูงใจและอำนวยความสะดวกในการลงทุนใน 14 สาขา เช่น อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า
และสินค้าอุตสาหกรรมขั้นกลางต่างๆ ในปี 2566 มากขึ้น ภายใต้นโยบายอินเดียพึ่งตนเอง
โดยเน้นให้แต่ละรัฐในอินเดียเร่งกระตุ้นการลงทุนอย่างจริงจัง
ทั้งนี้
อินเดียยังได้ใช้สตาร์ทอัปเป็นกลไกหนึ่งในการระดมทุนและขับเคลื่อนธุรกิจในระยะยาว
และเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัป
เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในอินเดีย โดยปัจจุบันอินเดียมีสตาร์ทอัปแล้วประมาณ 84,000
ราย ที่ผ่านการคัดกรองและขึ้นทะเบียนโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและการค้าภายใน DPIIT โดยในช่วงปี
2564-2565 มีสตาร์ทอัปได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเงินเริ่มต้นสำหรับสตาร์ทอัป (SISFS)
แล้ว มูลค่าประมาณ 2.2 พันล้านบาท และอินเดียยังเร่งพัฒนาระบบนวัตกรรมเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมรองรับการเติบโตของสตาร์ทอัป
ซึ่งดัชนีนวัตกรรมโลก 2022 (Global Innovation Index 2022)
ประเมินว่าอินเดียได้พัฒนาระบบนิเวศน์เพื่อสตาร์ทอัปให้ดีขึ้นจากอันดับที่ 81 ในปี
2558 เป็นอันดับที่ 40 ในปี 2565 โดยสามารถยกระดับได้ถึง 41 อันดับภายใน 7 ปี
ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของอินเดียที่จะปรับตัวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ได้ในไม่ช้า
“จากนโยบายของรัฐบาลอินเดีย ที่ออกมาเพื่อดึงดูดการลงทุน
ทั้งการลงทุนใน 14 สาขา และการร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัป
จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนของไทย จะพิจารณาเข้าไปลงทุนในอินเดีย
เพราะรัฐบาลอินเดียเปิดกว้าง และถือเป็นช่องทางลัดอีกทางหนึ่ง
ในการบุกเจาะขยายตลาดอินเดีย”นายภูสิตกล่าว
นายภูสิตกล่าวว่า ที่ผ่านมา
มีธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยหลายรายเข้าไปลงทุนในอินเดียแล้ว ทั้งกลุ่มสินค้าอาหาร
แปรรูป สัตว์น้ำ นม โยเกิร์ตพร้อมดื่ม ภาชนะและบรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง
วัสดุก่อสร้าง เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ในครัวและในสำนักงาน
ชิ้นส่วนยานยนต์และพลังงานแสงอาทิตย์ และภาคบริการ เช่น ธุรกิจค้าส่ง
ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริการทางธุรกิจสำหรับสตาร์ทอัป
รวมทั้งธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่งทางเรือและศูนย์กระจายสินค้า
แต่ก็ยังมีโอกาสสำหรับสาขาที่ไทยมีศักยภาพอีกหลายสาขา เช่น โรงแรม
บริการสุขภาพและความงาม บริการก่อสร้างและตกแต่ง
ซึ่งสามารถนำสินค้าจากไทยมาใช้และจัดแสดงในกิจการเหล่านี้ได้ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีช่องทางลัดในการขยายธุรกิจไทยในอินเดีย คือ
การจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อช่วยบุกเบิกและควบคุมกิจการในอินเดีย
โดยเข้าไปถือหุ้นเพื่อควบคุมทิศทางและการบริหาร
แต่อาศัยคนท้องถิ่นในการจัดการและดูแลบุคลากร ส่วนธุรกิจบริการ
อาจพิจารณาใช้ระบบแฟรนไชส์ เป็นกลไกในการขยายสาขาในอินเดียได้อีกทางหนึ่ง ที่สำคัญ
ควรจะหาผู้ร่วมลงทุนในอินเดีย โดยสามารถหาได้จากการเข้าร่วมงาน เช่น Global Investors
Summit 2023 ในแต่ละรัฐ โดยรัฐมัธยประเทศ และรัฐอุตตรประเทศ
กำหนดจัดเดือนมกราคม 2566 และรัฐอานธรประเทศ เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้น
สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th
หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169