แนวโน้มแบงก์ไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2565 มีโจทย์ดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบางภายใต้สถานการณ์ที่ดอกเบี้ยเริ่มขยับขึ้น
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า รายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 2/2565 ยังคงอ่อนแอ โดยแม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะยังคงเติบโตได้ตามสินเชื่อ แต่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยยังคงถูกกดดันจากความเปราะบางของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากความผันผวนของตลาดทุน ซึ่งทำให้ประเมินว่า กำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศในไตรมาส 2/2565 จะอยู่ที่ประมาณ 4.61 หมื่นล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน
- อย่างไรก็ดี คาดว่า สัดส่วน NPL ไตรมาส 2/2565 จะทรงตัวอยู่ในกรอบ 2.90-2.93% ต่อสินเชื่อรวม ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตามสัญญาณการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ และแก้ไขปัญหาหนี้เสียในเชิงรุกของระบบธนาคารในภาพรวม
- ต่อภาพออกไปในช่วงครึ่งปีหลัง แม้แรงกดดันต่อธุรกิจหลักอาจผ่อนคลายลงบางส่วนหากเศรษฐกิจทยอยมีสัญญาณดีขึ้น แต่ธนาคารพาณิชย์ก็ยังคงมีโจทย์ต่อเนื่องในการดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบางภายใต้สถานการณ์ที่แนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศอาจเริ่มขยับขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะแรกของธนาคารพาณิชย์ปรากฏขึ้นในผลิตภัณฑ์สินเชื่อและเงินฝาก
รายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ยังมีภาพอ่อนแอในไตรมาส 2/2565...รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยหดตัวต่อเนื่องตามสถานการณ์เศรษฐกิจและผลกระทบจากตลาดทุนที่ผันผวน
▪ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า รายได้จากธุรกิจหลักของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (ระบบธ.พ. ไทย 18 แห่ง) ในไตรมาส 2/2565 ยังคงอ่อนแอ โดยเฉพาะรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยซึ่งถูกกดดันจากความเปราะบางของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ โดยรายได้ค่าธรรมเนียมมีโอกาสหดตัวลงต่อเนื่อง [คาดการณ์ รายได้ค่าธรรมเนียมหดตัว 5.3% YoY ในไตรมาสที่ 2/2565] นำโดย ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนและบริการโอนเงินและเรียกเก็บเงิน นอกจากนี้ความผันผวนของตลาดทุนที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างไตรมาสยังมีผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนและการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินจากการ Mark to Market ด้วยเช่นกัน ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธินั้น อาจขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยตามการเติบโตของสินเชื่อ [คาดการณ์ สินเชื่อไตรมาส 2/2565 เติบโตในกรอบ 5.7-6.0% YoY] นำโดย สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งส่งผลทำให้อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin: NIM) มีแนวโน้มขยับขึ้นมาที่ 2.58% ในไตรมาสที่ 2/2565 จาก 2.55% ในไตรมาสแรกของปี
อย่างไรก็ดี ภาพในอีกด้านหนึ่งสะท้อนว่า ธนาคารพาณิชย์มีการเข้าดูแลประเด็นคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเร่งเข้าจัดการปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ ทั้งการขาย NPLs การตัดหนี้สูญ และการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ ซึ่งช่วยส่งผลทำให้สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 2/2565 ทรงตัวอยู่ในกรอบ 2.90-2.93% ต่อสินเชื่อรวม ใกล้เคียงระดับ 2.93% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 1/2565 ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองฯ ต่อสินเชื่อ (Credit Cost) อาจชะลอลงมาที่ 1.20% ในไตรมาสที่ 2/2565 จาก 1.45% ในช่วงเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ดีคงต้องติดตามสัญญาณการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อในพอร์ต SMEs และรายย่อย อาทิ สินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันอย่างใกล้ชิด
จากภาพรวมรายได้จากการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กำไรสุทธิของระบบ ธ.พ. ไทยในไตรมาส 2/2565 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 4.61 หมื่นล้านบาท ลดลง 19.6% เมื่อเทียบกับฐานที่สูงในไตรมาสที่ 2/2564 ซึ่งมีการบันทึกรายการพิเศษกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นในบริษัทย่อยของธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง
เมื่อมองออกไปในช่วงครึ่งปีหลัง...ธนาคารพาณิชย์ยังมีโจทย์ดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบางภายใต้สถานการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศที่จะเริ่มขยับขึ้น แม้สัญญาณเศรษกิจอาจช่วยคลายแรงกดดันที่มีต่อธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ลงบางส่วน
▪ การทยอยคลายล็อกมาตรการโควิดช่วยหนุนสัญญาณเศรษฐกิจและสินเชื่อ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยทบทวนตัวเลขคาดการณ์สินเชื่อของระบบธ.พ. ไทยในปี 2565 มาที่ 5.0% (กรอบคาดการณ์ใหม่ที่ 4.0-5.5%) จากคาดกาณณ์เดิมเมื่อเดือนมี.ค. 2565 ที่ 4.5% เนื่องจากการเบิกใช้สินเชื่อที่เติบโตต่อเนื่องของภาคธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาและน่าจะมีแนวโน้มความต้องการสินเชื่อต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี โดยในส่วนของสินเชื่อธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่องนั้น นอกจากจะมีอานิสงส์จากสัญญาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมแล้ว ยังมีแรงหนุนในส่วนของสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน หรือ Working Capital ที่เพิ่มขึ้นตามราคาวัตถุดิบและต้นทุนอื่นๆ ในการผลิตสินค้าและบริการ อย่างไรก็ดี สินเชื่อรายย่อยอาจเผชิญข้อจำกัดการเติบโตตามสถานะที่เปราะบางของภาคครัวเรือนไทย [คาดการณ์ สินเชื่อธุรกิจเติบโตในกรอบ 5.0-6.5% ชะลอลงเมื่อเทียบกับฐานที่สูงในปี 2564 ที่เติบโต 7.8% ขณะที่ สินเชื่อรายย่อยอาจขยายตัวราว 3.0-4.0% ทรงตัวเมื่อเทียบกับ 4.0% ในปี 2564]
แนวโน้มสินเชื่อปี 2565 |
2564 |
1Q-2565 |
พ.ค. 2565 |
คาดการณ์ 2565 |
สินเชื่อระบบแบงก์ไทย |
6.2% |
6.7% |
6.2% |
4.0-5.5% |
สินเชื่อธุรกิจ* |
7.8% |
8.8% |
6.7% |
5.0-6.5% |
สินเชื่อรายย่อย |
4.0% |
3.3% |
3.3% |
3.0-4.0% |
ที่มา: ธปท. และคาดการณ์โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ณ 15 ก.ค. 2565 หมายเหตุ: * ไม่รวมกิจกรรมการเงินฯ |
▪ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทยยังขึ้นอยู่กับจังหวะการปรับดอกเบี้ยโดยแม้วัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยอาจเริ่มขึ้นในรอบการประชุมเดือนส.ค. 2565 เพื่อดูแลความเสี่ยงเงินเฟ้อ แต่ด้วยสภาพคล่องของระบบธ.พ. ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และปัญหาของลูกหนี้อีกจำนวนกว่า 1.6 ล้านบัญชี หรือ คิดเป็นสัดส่วนภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือประมาณ 12.1% ของสินเชื่อรวมที่ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและยังไม่ได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงอาจทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะแรกของธนาคารพาณิชย์ปรากฏขึ้นในผลิตภัณฑ์สินเชื่อและเงินฝากเพียงบางประเภท อาทิ เงินฝากประจำระยะยาวและสินเชื่อที่มีระยะเวลาการผ่อนค่อนข้างยาว อาทิ การยกเลิกแคมเปญดอกเบี้ยคงที่สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และการทยอยลดการแข่งขันด้านราคาในผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ขณะที่คาดว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปคงขึ้นอยู่กับจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจ ตลอดจนการเตรียมรับมือกับการปรับอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF Fee) ในช่วงต้นปี 2566
▪ รายได้ค่าธรรมเนียม แม้มีโอกาสฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังตามทิศทางเศรษฐกิจ แต่โจทย์ทางการไทยในการเพิ่มการแข่งขันและดูแลผู้บริโภคอาจทำให้แนวโน้มการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมยังค่อนข้างจำกัดในระยะถัดไปอาทิ ค่าธรรมเนียมเงินโอนระหว่างประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้โมเดลธุรกิจของการให้บริการทางการเงินดิจิทัลยังคงต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในระดับบุคคลอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การรุกธุรกิจตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอาจเผชิญประเด็นด้านความเชื่อมั่น ซึ่งในอีกด้านหนึ่งย่อมสะท้อนถึงบททดสอบสำคัญในการเติบโตของการสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่
ด้วยภาพที่ท้าทายต่างๆ ข้างต้น จึงทำให้คาดว่า ภาพรวมของกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนการกันสำรองฯ และภาษีเงินได้) ในปี 2565 จะอยู่ในกรอบ 4.01-4.03 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่กลับไปสู่ระดับค่าเฉลี่ยในช่วง 3 ปีก่อนวิกฤตโควิด-19 แม้จะเข้าใกล้มากขึ้นก็ตาม
▪ สัดส่วนหนี้เข้ามาตรการคงทยอยลดลงสู่เลขหลักเดียวในช่วงปลายปี แต่โจทย์การแก้หนี้ยังอยู่กับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่การปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการแก้หนี้ระยะยาวที่จะดำเนินการไปจนถึงสิ้นปี 2566 เพราะคงต้องยอมรับว่า หนี้ที่ยังคงอยู่ภายใต้มาตรการให้ความช่วยเหลือของสถาบันการเงินจะเป็นหนี้ที่มีความซับซ้อนในการแก้ไขมากกว่าปกติ อย่างไรก็ดี จากการที่มาตรการผ่อนปรนเกณฑ์จัดชั้นหนี้จะสิ้นสุดลงในปี 2566 ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น คงต้องมาวัดสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและธุรกิจ รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยในระบบอีกครั้งว่าจะยังอยู่ในสภาพที่เกื้อหนุนการปรับโครงสร้างหนี้อีกหรือไม่ ทั้งนี้ในระหว่างนี้ ธนาคารพาณิชย์คงผ่อนระดับการกันสำรองฯ ลงได้บ้างจากที่เร่งสำรองฯ ไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้า สำหรับแนวโน้มสัดส่วน NPL ในปี 2565 คาดการณ์ไว้ในกรอบ 2.95-3.05% ใกล้เคียง 2.98% ในปี 2565 ซึ่งสะท้อนการจัดการปัญหาหนี้เสียในเชิงรุก ที่จะดำเนินการควบคู่ไปกับการบริหารจัดการสินทรัพย์รอการขายที่เพิ่มขึ้น (ณ พ.ค. 2565 มียอดคงค้างที่ 1.62 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1.25 แสนล้านบาท)
ประมาณการผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2565 ของระบบแบงก์ไทย |
||||
|
2Q-2564 |
1Q-2565 |
2Q-2565 f |
ปัจจัย / ประเด็นสำคัญ |
กำไรสุทธิ (พันล้านบาท) |
57.3 +47.4% QoQ +92.0% YoY |
45.8 +31.5% QoQ +17.9% YoY |
46.1 +0.5% QoQ -19.6% YoY |
รายได้จากธุรกิจรออานิสงส์จากเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวครึ่งปีหลัง ขณะที่กำไรที่มีทิศทางดีขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาระในการกันสำรองฯ ที่ลดลง หลังมีการดูแลปัญหาคุณภาพหนี้ในเชิงรุก |
รายได้ค่าธรรมเนียม (% YoY) |
+7.3% |
-4.5% |
-5.3% |
รายได้ค่าธรรมเนียมยังคงอ่อนแอ เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ประกอบกับมีผลกระทบจากความผันผวนของตลาดทุน |
NIM (%) |
2.56% |
2.55% |
2.58% |
NIM มีแนวโน้มขยับขึ้นเล็กน้อยช่วงที่เหลือของปีตามการเติบโตของสินเชื่อ (โดยเฉพาะพอร์ตที่ให้ผลตอบแทนสูง) ขณะที่จังหวะและรูปแบบการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธ.พ. ในครึ่งปีหลังจะมีผลต่อ NIM |
สินเชื่อ (% YoY) |
4.4% |
6.7% |
5.7-6.0% |
สินเชื่อเติบโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง แต่ในอัตราที่ชะลอลงเพราะเทียบกับฐานที่สูงในปีก่อน |
เงินฝาก (% YoY) |
4.0% |
5.9% |
4.7-5.0% |
เงินฝากเติบโตสอดคล้องกับสินเชื่อ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก โดยเฉพาะเงินฝากระยะยาวมีแนวโน้มขยับขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย |
NPL Ratio* (%) |
3.11% |
2.93% |
2.90-2.93% |
ธ.พ. เร่งจัดการ/ดูแลปัญหาคุณภาพสินเชื่อในเชิงรุกต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ขณะที่สถาบันการเงินยังได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ของธปท. |
% Credit Cost การตั้งสำรองฯ ต่อสินเชื่อ |
1.45% |
1.14% |
1.16-1.20% |
การเร่งปรับโครงสร้างหนี้และจัดการ NPLs ในเชิงรุกต่อเนื่องช่วยบรรเทาภาระในการกันสำรองฯ ประกอบกับ ธ.พ. มีการตั้งสำรองฯ ก้อนใหญ่ไปแล้วในช่วงปี 2563-2564 |
ที่มา: ธปท. และคาดการณ์ผลประกอบการปี 2565 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย หมายเหตุ: * % สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ (ธ.พ.ไทย+สาขาธ.พ. ต่างประเทศ) |
โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า รายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ยังคงอ่อนแอในไตรมาสที่ 2/2565 โดยเฉพาะรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยซึ่งถูกกดดันจากความเปราะบางของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากความผันผวนของตลาดทุนต่อพอร์ตการลงทุน ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและ NIM นั้นอาจขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยตามการเติบโตของสินเชื่อ จากภาพรวมดังกล่าว คาดว่า กำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศในไตรมาส 2/2565 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 4.61 หมื่นล้านบาท
สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2565คาดว่า แรงหนุนจากสัญญาณเศรษฐกิจจะช่วยหนุนให้มีการเบิกใช้สินเชื่อต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และน่าจะทำให้แรงกดดันต่อรายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ในส่วนอื่นๆ คลายตัวลงบางส่วน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับตัวเลขคาดการณ์สินเชื่อของระบบธ.พ. ไทยในปี 2565 มาที่ 5.0% (กรอบคาดการณ์ใหม่ที่ 4.0-5.5%) อย่างไรก็ดีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทยอาจยังไม่สะท้อนอานิสงส์จากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเต็มที่ เนื่องจากสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และปัญหาของลูกหนี้อีกหลายกลุ่มที่ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและยังไม่ได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ดังนั้นคาดว่าจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์เพียงบางผลิตภัณฑ์ก่อนในระยะแรก สำหรับภาพรวมของรายได้จากธุรกิจหลักในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 นั้น ด้วยข้อจำกัดในการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้จากธุรกิจใหม่ที่ยังต้องใช้เวลา ทำให้คาดว่าภาพรวมของกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนการกันสำรองฯ และภาษีเงินได้) ในปี 2565 จะอยู่ในกรอบ 4.01-4.03 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่กลับไปสู่ระดับค่าเฉลี่ยในช่วง 3 ปีก่อนวิกฤตโควิด-19 แม้จะเข้าใกล้มากขึ้นก็ตาม