แชร์

โลกคลายความวิตกในช่วงสั้นหลังทรัมป์ยังไม่ปรับขึ้นภาษีศุลกากรในวงกว้าง แต่ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ อาจทวีความรุนแรง

อัพเดทล่าสุด: 28 ม.ค. 2025
86 ผู้เข้าชม

ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังเป็นบวกและความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย คาดหนุนเฟดคงดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้ ภายหลังการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคม นายโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) หลายฉบับ อาทิ การถอนตัวจากข้อตกลงปารีส องค์การอนามัยโลก (WHO) และข้อตกลง Global Minimum Tax รวมทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน และการจัดการผู้อพยพผิดกฎหมาย

แม้ว่านายทรัมป์ยังไม่ได้ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรในวงกว้าง แต่พิจารณาที่จะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าบางประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ได้แก่ จีน ในอัตรา 10% เม็กซิโกและแคนาดา ในอัตรา 25% หากว่ายังไม่เร่งแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายและยาเฟนทานิลที่ถูกส่งเข้ามายังสหรัฐฯ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ขู่ที่จะจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ อย่างมาก โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ทั้งนี้ จากภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังเป็นบวก รวมถึงนโยบายของทรัมป์ที่จะหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 28-29 มกราคมนี้

แม้เศรษฐกิจญี่ปุ่นทยอยฟื้นตัวแต่ความเปราะบางของภาคการผลิตและส่งออกอาจส่งผลให้ BOJ ปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 17 ปีที่ 0.50% ในการประชุมเดือนมกราคม พร้อมส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อหากตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อยังเป็นไปตามคาดการณ์ นอกจากนี้ ในเดือนมกราคม ดัชนี PMI ภาคการผลิตลดลงสู่ระดับ 48.8 หดตัวมากที่สุดในรอบ 10 เดือน ขณะที่ภาคบริการขยายตัวมากสุดในรอบ 4 เดือนอยู่ที่ 52.1

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ สอดคล้องกับค่าจ้างและเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่องท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการค้าที่ลดลงในระยะสั้นหลังนายทรัมป์ ชะลอการปรับขึ้นภาษีศุลกากรในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม จากภาคการผลิตและส่งออกที่ยังคงซบเซาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า การแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รุนแรงขึ้น รวมถึงความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นอาจยังเป็นข้อจำกัดในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น จากปัจจัยข้างต้น วิจัยกรุงศรีประเมินว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของญี่ปุ่นครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้

จีนเผชิญแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น เมื่อวันที่ 20-21 มกราคม นายโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศพิจารณาแผนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มเติมกับจีน 10% และเม็กซิโก-แคนาดา 25% โดยอาจเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 23 มกราคม สภาคองเกรสของสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมาย Restoring Trade Fairness Act เพื่อยกเลิกสถานะ Permanent Normal Trade Relations (PNTR) ของจีน ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดภาษีนำเข้าขั้นต่ำจากจีน 35% สำหรับสินค้าทั่วไป และ 100% สำหรับสินค้ายุทธศาสตร์ โดยจะปรับเพิ่มเป็นขั้นบันไดตลอด 5 ปีข้างหน้า

วิจัยกรุงศรีประเมินว่าการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากจีน เม็กซิโก และแคนาดาของสหรัฐฯ รอบใหม่ จะทำให้การส่งออกและ GDP ของจีนลดลงจากกรณีฐาน -2.38% และ -0.08% ตามลำดับ ขณะที่สหรัฐฯ อาจได้ไม่คุ้มเสีย เนื่องจากการส่งออกและ GDP จะลดลงจากกรณีฐานมากกว่าจีนถึงประมาณ 4 เท่า นอกจากนี้ การยกเลิกสถานะ PNTR ของจีนอาจเร่งให้เกิดการแยกตัวทางเศรษฐกิจ (Decoupling) หรือทำให้เกิดการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานโลกในระยะข้างหน้าเร็วขึ้น ทั้งนี้ คาดว่า ในปี 2568 รัฐบาลจีนจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อชดเชยการส่งออกที่มีแนวโน้มอ่อนกำลังลง

เศรษฐกิจไทย

การส่งออกในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงสู่ 2.7% จากปีก่อนที่ขยายตัวดีกว่าคาด ท่ามกลางความท้าทายจากความตึงเครียดทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น

ส่งออกเดือนธันวาคมขยายตัว 8.7% หนุนภาพรวมปี 2567 โตเกินคาดที่ 5.4% ส่วนปี 2568 คาดโตชะลอลงเหลือ 2.7% มูลค่าส่งออกในเดือนธันวาคมอยู่ที่ 24.8 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ 8.7% YoY ตามการเติบโตของการส่งออกสินค้าทุนและวัตถุดิบของไทยในเกือบทุกหมวด อีกทั้งยังขยายตัวในเกือบทุกตลาดส่งออกสำคัญ สำหรับภาพรวมในปี 2567 มูลค่าส่งออกรวมแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3 แสนล้านดอลลาร์ และขยายตัว 5.4% จากปีก่อน

การส่งออกในเดือนธันวาคมที่เติบโตดีต่อเนื่องจากเดือนพฤศจิกายน (+8.2% YoY) ส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าเพื่อเตรียมรองรับกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ในระยะข้างหน้า สำหรับแนวโน้มการส่งออกของไทยปี 2568 วิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่าจะเติบโตชะลอลงสู่ 2.7% โดยยังเผชิญแรงกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ การลดลงของขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้า ประกอบกับความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น รวมทั้งการแข่งขันกับสินค้าจีนที่คาดว่าจะหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดโลกเพิ่มเติม หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน (ล่าสุด IMF คาดจะเติบโต 3.3% จาก 3.2% ในปี 2567) รวมถึงการเติบโตในภาคเศรษฐกิจดิจิทัลและกิจกรรมภาคท่องเที่ยวซึ่งจะช่วยกระตุ้นความต้องการสินค้าในบางรายการ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และสินค้าเกษตร เป็นต้น

วิจัยกรุงศรีประเมินไทยอาจได้ผลเชิงบวกเล็กน้อยจากกรณีสหรัฐฯเรียบเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนเพิ่ม 10% และ 25% กับเม็กซิโกและแคนาดา ล่าสุดประธานาธิบดีทรัมป์ระกาศเตรียมพิจารณาปรับขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าทุกประเภทจากทั้ง 3 ประเทศข้างต้น โดยจะให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

การประเมินผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าโดยใช้แบบจำลองการวิเคราะห์การค้าโลก (Global Trade Analysis Project: GTAP) พบว่ากรณีสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% และ 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา อาจทำให้การส่งออกและ GDP ของไทย เพิ่มขึ้นจากกรณีฐาน +1.65% และ +0.05% ตามลำดับ แม้ว่าไทยอาจได้ประโยชน์จากการส่งออกทดแทนในบางอุตสาหกรรม รวมถึงการย้ายฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษี แต่ผลบวกกระจุกตัวในบางกลุ่มสินค้าเท่านั้น และที่สำคัญผลลบกระจายไปยังหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้ นโยบายการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ยังมีความไม่แน่นอนและอาจสร้างความปั่นป่วนต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกอยู่เป็นระยะๆ จึงนับเป็นประเด็นความท้าทายที่สำคัญต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย


บทความที่เกี่ยวข้อง
"TIPปันรัก #6 LOVE ON TRACK ฉึกฉักไปตามราง เดินทางไปตามรัก"
ทิพยประกันภัย จัดกิจกรรมสุดพิเศษ "TIPปันรัก #6 LOVE ON TRACK ฉึกฉักไปตามราง เดินทางไปตามรัก" เพื่อขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้การสนับสนุนทิพยประกันภัยมาโดยตลอด ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำในวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี
17 ก.พ. 2025
กรุงเทพประกันชีวิต เปิดตัวบริการเสริมด้านสุขภาพใหม่ “BLA Health Butler” “ใส่ใจ” พาผู้สูงวัยไปหาหมอ
กรุงเทพประกันชีวิต เปิดตัวบริการเสริมด้านสุขภาพ BLA Health Butler ใส่ใจ พาลูกค้าผู้สูงอายุไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ด้วยทีมงาน VNurse Care ผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการรับ ส่งและดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ
17 ก.พ. 2025
กทพ. แจ้งปิดเบี่ยงจราจรบนถนนพระราม 2 ช่วงเวลา 19.00 - 05.00 น. ตั้งแต่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 จนกว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ได้ว่าจ้างกิจการร่วมค้า ยูเอ็น - ซีซี เป็นผู้รับจ้างดำเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก สัญญาที่ 1
17 ก.พ. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy