EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังเผชิญความเสี่ยงเงินเฟ้อ-Fed ขึ้นดอกเบี้ย หลังกิจกรรมเศรษฐกิจเดือนมิ.ย. ชะลอลงทั่วโลก มองเศรษฐกิจไทย ฟื้นตัวจากท่องเที่ยว-บริการ คาด ปีนี้ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง เพื่อควบคุมเงินเฟ้อคาดการณ์
นเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวลงทั้งจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่มีอยู่ต่อเนื่อง
และความกังวลต่อนโยบายการเงินที่ตึงตัวเร็วของธนาคารกลางหลักของโลก อัตราเงินเฟ้อในเดือนที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นทั่วโลกและคาดว่าจะยังไม่ผ่านจุดสูงสุด
ขณะที่ธนาคารกลางหลักของโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีท่าทีดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวกว่าเดิมเพื่อควบคุมการเร่งตัวของเงินเฟ้อ
ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอลงอย่างมีนัย ในเดือนที่ผ่านมา และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) ในกลุ่มเศรษฐกิจหลักในตะวันตกมากขึ้น โดยเศรษฐกิจยุโรปมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยสูง
จากความเสี่ยงวิกฤตพลังงานที่เพิ่มขึ้นหากรัสเซียหยุดการส่งก๊าซธรรมชาติ
ทั้งนี้ในกรณีฐาน EIC ประเมินว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ
จะมีโอกาสเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (technical recession) แต่จะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเนื่องจากอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ
และภาคธุรกิจโดยรวมยังคงขยายตัว
ด้านเศรษฐกิจในฝั่งเอเชียมีแนวโน้มดีขึ้นจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด
แม้เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นยังเป็นประเด็นสำคัญที่อาจลดทอนการฟื้นตัวในระยะต่อไป
โดยยังต้องจับตาการอ่อนค่าของสกุลเงินในภูมิภาคตามการ แข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐที่อาจส่งผลให้เงินเฟ้อจากการนำเข้าเร่งตัวเพิ่มเติม
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว
แต่ในระยะถัดไปยังมีความเสี่ยงด้านต่ำ จากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยภาคการส่งออกยังขยายตัวได้ดี
โดยเฉพาะจากปัจจัยด้านราคา ที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวสูงและการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางในหลายประเทศ อีกทั้ง นโยบายควบคุมโควิดอย่างเข้มข้น
(Zero Covid) ในจีนยังเป็นความเสี่ยงต่อการล็อกดาวน์ระลอกใหม่
ด้านการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวทั้งจากการลงทุนภายในประเทศและการลงทุนจากต่างชาติตามแนวโน้มการเปิดเมือง
แต่การลงทุนบางส่วนอาจชะลอหรือเลื่อนออกไปจากการส่งออกที่จะชะลอตัวลง
ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ รวมถึงปัญหาด้านเงินเฟ้อ
ในระยะต่อไปเศรษฐกิจไทยจะได้รับอานิสงส์ จากการทยอยเปิดประเทศของทั้งไทยและประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยว
ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่า
ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงท้ายปีมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น โดย EIC
คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยรวม 7.4
ล้านคนในปีนี้ ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา
เติบโตได้ดีจากการเริ่มกลับไปใช้ชีวิตตามปกติของประชาชน ส่งผลให้ในปี 2565
จำนวนผู้เยี่ยมเยือนไทยมีแนวโน้มแตะ 194 ล้านคน
และด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาเป็นปกติมากขึ้น รายได้ภาคเกษตรที่ขยายตัวได้ดี
และอุปสงค์คงค้าง (pent-up demand) จากกลุ่มรายได้สูง
และด้านตลาดแรงงานที่เริ่มส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นแม้ยังมีความเปราะบางและยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ในบางภาคธุรกิจ
ส่งผลให้การบริโภคในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวที่ดี
ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยจะยังเผชิญแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อ
โดยราคาพลังงานโลกยังคงอยู่ในระดับสูงจากปัญหาด้านอุปทานภายหลังการคว่ำบาตรรัสเซียที่เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกพลังงานหลักของโลก
และแนวโน้มการชะลอการลงทุนในการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงไปใช้พลังงานสะอาด
ประกอบกับมาตรการอุดหนุนด้านพลังงานของรัฐที่ทยอยลดลง
ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไทยล่าสุดเดือนมิ.ย. สูงถึง 7.7% เร่งตัวขึ้นจาก 7.1%
ในเดือนก่อนหน้า
ขณะที่เงินเฟ้อหมวดอาหารสดมีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2565
โดยเฉพาะราคาข้าวที่จะกลายมาเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อจากผลของปัจจัยฐานต่ำ
และราคาเนื้อหมูที่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในระยะต่อไป EIC คาดว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นได้อีกในระยะถัดไป
ตามความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ส่งผลต่อราคาพลังงานและโภคภัณฑ์โลก
มาตรการอุดหนุนภาครัฐที่ลดลง
และการส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคที่มีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้น
EIC คาด กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้
เพื่อควบคุมเงินเฟ้อคาดการณ์
ที่มีแนวโน้มเร่งตัว
ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่เงินเฟ้อของไทยมาจากฝั่งอุปทาน (cost-push
inflation) เป็นหลัก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง EIC
ประเมินว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป
โดยคาดว่าจะทยอยปรับขึ้นในไตรมาสที่ 3 และ 4 ไตรมาสละ 25 bps ทำให้ ณ
สิ้นปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ที่ 1% โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยมีจุดประสงค์หลักเพื่อควบคุมเงินเฟ้อคาดการณ์
และลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะเงินเฟ้อฝังลึก (wage-price spiral) ที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงจนยากต่อการควบคุม อีกทั้ง การขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังสามารถประคองเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้โดยไม่สร้างแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากจนเกินไป
เมื่อเทียบกับการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
ที่รุนแรงและเร็ว