แชร์

นโยบายภาษีตอบโต้ที่รุนแรงกว่าคาดของสหรัฐฯ เพิ่มความเสี่ยงขาลง (Downside risk) ต่อการค้าและเศรษฐกิจโลก

อัพเดทล่าสุด: 9 เม.ย. 2025
191 ผู้เข้าชม

ความเสี่ยงภาวะถดถอยในสหรัฐฯ สูงขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าที่รุนแรงกว่าคาด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าแบบครอบคลุมโดยจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% สำหรับสินค้าทุกประเภทตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไป นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน จะมีการเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูงขึ้นสำหรับเกือบ 60 ประเทศ ซึ่งมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ด้านประธานเฟดเผยว่านโยบายภาษีดังกล่าวอาจทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นและชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า พร้อมยืนยันว่าจะยังไม่เร่งรีบในการปรับลดดอกเบี้ยจนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบในท้ายที่สุด สำหรับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดที่ 228,000 ตำแหน่ง ในเดือนมีนาคม แต่อัตราการว่างงานขยับขึ้นสู่ 4.2%

สงครามการค้าที่ถูกยกระดับความรุนแรงขึ้นจากนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) เพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งตอกย้ำภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผลการศึกษาของวิจัยกรุงศรีพบว่าหากสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีนำเข้าตามที่ประกาศไว้ การเติบโตทางเศรษฐกิจและการส่งออกของสหรัฐฯ ในระยะกลาง-ยาว อาจลดลง -0.66% และ -30.3% ตามลำดับ ซึ่งมากกว่าผลต่อ GDP และการส่งออกโลกที่คาดว่าจะลดลง -0.16% และ -4.5% ตามลำดับ

โมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นอ่อนแรงลงจากเงินเฟ้อที่สูง ภายใต้ความเสี่ยงของสงครามการค้าที่เร่งตัวขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ ยอดค้าปลีกชะลอตัวจาก 4.4% ในเดือนมกราคม สู่ระดับ 1.4% YoY ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ (Tankan) ปรับตัวลงสู่ระดับ 12 ในไตรมาส 1 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มบริษัทนอกภาคการผลิตซึ่งรวมถึงภาคบริการ ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสองไตรมาสสู่ระดับ 35

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นเผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องและกระทบกับกำลังซื้อภายในประเทศ ด้านภาคการผลิตและส่งออกมีแนวโน้มซบเซาภายใต้ความเสี่ยงสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นหลังสหรัฐฯประกาศขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ต่อคู่ค้าหลายประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นที่ถูกเรียกเก็บสูงถึง 24% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 9 เมษายน ซึ่งจากผลการศึกษาของเราพบว่าหากสหรัฐฯ จัดเก็บนำเข้าในอัตราดังกล่าว การส่งออกของญี่ปุ่นอาจลดลง -3.7% ในระยะกลาง-ยาว

เศรษฐกิจจีนปรับตัวดีขึ้นบ้าง แต่เผชิญกับความเสี่ยงจากการขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ คาดการส่งออกจะอ่อนแรงลง ทางการจีน (NBS) รายงาน PMI ภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตสูงขึ้นในเดือนมีนาคม (ดังรูป) ด้านสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีนทุกรายการเพิ่มถึง 34% (มีผลบังคับใช้วันที่ 9 เมษายน) ทำให้อัตราภาษีปีนี้เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 54% ขณะที่จีนประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 34% โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 10 เมษายน

วิจัยกรุงศรีประเมินว่าการขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐฯ กับหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงจีน จะทำให้ GDP และการส่งออกของจีนในระยะกลางถึงยาวลดลง -0.04% และ -2.7% ตามลำดับ โดยจีนจะเผชิญกับผลกระทบทั้งทางตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และทางอ้อมผ่านประเทศที่เป็นฐานการผลิตให้กับจีน โดยเฉพาะอาเซียนซึ่งสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ในอัตราตั้งแต่ 10-49% ขณะเดียวกันสงครามการค้าอาจยิ่งไปซ้ำเติมภาวะอุปทานส่วนเกินของจีน รวมถึงลดทอนประสิทธิผลของมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่จีนประกาศกรอบในภาพใหญ่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในระยะอันใกล้ คาดว่า จีนจะเร่งประกาศรายละเอียดมาตรการผ่อนคลายทางการคลังและการเงินเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น

เศรษฐกิจไทย

มาตรการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอ่อนแอลง
 
สินค้าส่งออกของไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงเกินคาดที่ 36% อาจส่งผลให้การส่งออกไทยปีนี้ไม่เติบโต ประเทศไทยนับเป็น 1 ในเกือบ 60 ประเทศที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) โดยสินค้าของไทยจะถูกเก็บในอัตราที่ 36% สูงสุดเป็นอันดับ 5 ในอาเซียน รองจากกัมพูชา (49%) ลาว (48%) เวียดนาม (46%) และเมียนมาร์ (44%) โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายนนี้

วิจัยกรุงศรีประเมินว่าในระยะสั้น มาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ อาจทำให้การส่งออกของไทยชะลอตัวลงอย่างมาก และเฉลี่ยทั้งปี 2568 อาจเติบโตใกล้ศูนย์หากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาลดภาษี สำหรับอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่

I. ผลกระทบสูง: อาหารทะเลแปรรูป ยางรถยนต์ ฮาร์ดดิสก์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และถุงมือยาง เนื่องจากสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าในอัตราต่ำสำหรับสินค้าไทยกลุ่มนี้ และสหรัฐฯถือเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย หากสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าอย่างมากจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการส่งออกและการผลิตสินค้าเหล่านี้

II. ผลกระทบปานกลาง: ยางพารา ข้าว รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องประดับ สิ่งทอและเสื้อผ้า พลาสติก อุปกรณ์การแพทย์อื่น ๆ และเหล็กและเหล็กกล้า แม้สหรัฐฯ จะยังเป็นตลาดหลักของสินค้าเหล่านี้ แต่ตลาดอื่น ๆ ก็มีสัดส่วนที่สำคัญ นอกจากนี้ ไทยเองก็ผลิตสินค้าเหล่านี้เพื่อใช้ในประเทศด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมดังกล่าวข้างต้นโดยเฉพาะอาหารทะเลแปรรูป และยางรถยนต์อาจส่งผลต่อเนื่องผ่านห่วงโซ่อุปทานการผลิต ซึ่งจะกระทบไปยังการผลิตสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ ส่งผลลบต่อการจ้างงาน รวมถึงกำลังซื้อโดยรวมของประเทศ

ความตึงเครียดทางการค้าโลกทวีแรงขึ้นและยังมีความไม่แน่นอนสูง กดดันเศรษฐกิจไทยอ่อนแอลง อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยสูงเกินคาดที่ 36% ขณะที่ทางการไทยเคยประเมินไว้ว่าอาจถูกเก็บภาษีที่ 11% (ช่วง 10-15%) โดยก่อนหน้านี้ส่วนต่างภาษีนำเข้าโดยเฉลี่ยของไทยกับสหรัฐฯอยู่ที่ราว 6% หากบวกกับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% อัตราภาษีนำเข้าที่เคยคาดการณ์จะอยู่ที่ราว 13% สำหรับผลกระทบในระยะปานกลางถึงระยะยาวอาจจะรุนแรงน้อยกว่าในระยะสั้น เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่สหรัฐฯ กำหนดกับไทยยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญ อาทิ จีน (54% คำนวณจากอัตราภาษีตอบโต้ 34% บวกกับอัตราภาษีที่สหรัฐฯจัดเก็บ 20% เมื่อต้นปี) และเวียดนาม (46%) ส่งผลให้การย้ายฐานการลงทุนและผลของการทดแทนการส่งออกสินค้าอาจส่งผลบวกในเชิงเปรียบเทียบต่อการส่งออกและการผลิตบาง

รายการของไทย การประเมินผลกระทบโดยอาศัยแบบจำลอง Global Trade Analysis Project (GTAP) วิจัยกรุงศรีพบว่าจากการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ นี้ จะทำให้การส่งออกและ GDP ของไทยในระยะกลางถึงยาวลดลง -2.6% และ -0.11% ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนพบว่า GDP ของเวียดนามและกัมพูชาจะลดลงมากกว่าไทย เนื่องจากถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่าและมีการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯมากกว่า ขณะที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จะได้รับผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าไทย

ในระยะข้างหน้าความตึงเครียดทางการค้าโลกอาจมีพัฒนาการในหลายทิศทาง ได้แก่ (i) การเจรจาที่นำไปสู่ข้อตกลงทวิภาคีกับสหรัฐฯ (ii) มาตรการตอบโต้ที่ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางการค้าที่ยืดเยื้อ หรือ (iii) ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นซึ่งกดดันภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวม ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นในตลาดลดลง ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ประสิทธิภาพการผลิตของหลายประเทศลดลง และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย ซึ่งเศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัวแบบรูปตัว K (โดยภาคการผลิตหลายสาขายังคงฟื้นตัวได้ช้าหรือการเติบโตที่อ่อนแอกว่าภาคบริการอยู่มาก) ผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯอาจยิ่งซ้ำเติมภาคการผลิตสำคัญของไทย และกดดันแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นถึงปานกลางให้ยิ่งอ่อนแอลง


บทความที่เกี่ยวข้อง
โก โฮลเซลล์ ผนึกกำลัง MLA  ยกระดับพนักงานแผนกเนื้อสัตว์ สู่มาตรฐานระดับสากล
โก โฮลเซลล์ (GO WHOLESALE) ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร ที่มีความสดใหม่ตลอดเวลาเพื่อผู้ประกอบการ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล
16 ก.ค. 2025
วิริยะประกันภัย ปิดฉากกอล์ฟทัวร์นาเมนต์ 2025  ส่งท้ายแมตช์เชื่อมสัมพันธ์คู่ค้าโซนภาคใต้
นายสยม โรหิตเสถียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันกอล์ฟ “Viriyah Invitational Golf Tournament 2025”
16 ก.ค. 2025
เคทีซีผนึกไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮม กระตุ้นใช้จ่ายหมวดวัสดุก่อสร้าง  เสนอทางเลือกฟื้นฟูบ้านโดยไม่กระทบสภาพคล่อง
เคทีซีผนึกไทวัสดุและบีเอ็นบี โฮม ผู้นำธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน เดินหน้าเชื่อมต่อคนรักบ้านกับการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า ผ่านแคมเปญ เคทีซีเคียงข้างทุกการฟื้นฟูบ้าน สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี รับสิทธิพิเศษจุใจ ครอบคลุมทั้งการซื้อสินค้าและงานบริการ
15 ก.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy