แม้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนเริ่มมีสัญญาณผ่อนคลายบ้าง แต่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น
มุมมองการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯแย่ลง ท่ามกลางนโยบายกีดกันทางการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ด้าน IMF คาดการณ์เศรษฐกิจภายใต้ข้อมูลจนถึงวันที่ 4 เมษายน (ซึ่งยังไม่รวมผลของการเลื่อน Reciprocal Tariff 90 วัน) สหรัฐฯจะขยายตัวเพียง 1.8% และ 1.7% ในปี 2568 และ 2569 (จากคาดการณ์เดิมที่ 2.7% และ 2.1% ตามลำดับ) จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจและการค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงภาพรวมอุปสงค์ที่อ่อนแอลง ขณะที่ประธานาธิบดีให้สัมภาษณ์ว่าสหรัฐฯจะได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ หากสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีสูงถึง 20-50% ต่อประเทศคู่ค้าภายในเวลา 1 ปีต่อจากนี้
ภายใต้ความเสี่ยงขาลง (Downside risk) ที่เพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง สะท้อนจาก (i) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 (ii) อัตราการว่างงานที่สูงขึ้นและค่าจ้างที่โตช้าสุดในรอบ 8 เดือน และ (iii) ดัชนี PMI ภาคบริการที่ขยายตัวชะลอลง และภาคการผลิตที่ยังคงซบเซา แม้ว่าการลดอัตราภาษีศุลกากรและการบรรลุข้อตกลงทางการค้าอาจช่วยบรรเทาความเสี่ยงภาวะถดถอย (Recession) แต่คาดว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในปีนี้ ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้สู่ระดับ 3.50-3.75% ในช่วงสิ้นปี เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจและผ่อนคลายความตึงตัวทางการเงินในระยะข้างหน้า
เศรษฐกิจของยูโรโซน และญี่ปุ่นส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจน คาดหนุนธนาคารกลางทั้งสองแห่งใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่อง ภายใต้ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าที่สูงขึ้น IMF คาดการณ์เศรษฐกิจยูโรโซน ขยายตัว 0.8% และ 1.2% ในปี 2568 และ 2569 (จากเดิมที่ 1.0% และ 1.4% ตามลำดับ) ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นคาดว่าจะขยายตัว 0.6% ในปี 2568 และ 2569 (จากเดิมที่ 1.1% และ 0.8% ตามลำดับ) ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่รายงานออกมาต่ำกว่าคาดในระยะนี้
ภาพรวมเศรษฐกิจยูโรโซนยังอ่อนแอและส่งสัญญาณชะลอตัวมากขึ้น สะท้อนจาก (i) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลงแรงในเดือนเมษายนสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 (ii) ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (ZEW) ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 และ (iii) ดัชนี PMI ภาคบริการกลับมาหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน และภาคการผลิตที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่นเผชิญความเสี่ยงที่สูงขึ้น ทั้งจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ รวมถึงแรงกดดันด้านราคาหลังอัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) ปรับเพิ่มขึ้นมากสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งอาจเป็นปัจจัยฉุดรั้งการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการลงทุนของภาคธุรกิจได้ในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ จากภาพการชะลอตัวที่เด่นชัดมากขึ้นของยูโรโซนและญี่ปุ่น วิจัยกรุงศรีประเมินว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ 1.75% ณ สิ้นปี 2568 จากปัจจุบันที่ 2.25% ขณะที่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลัง
จีนและสหรัฐฯ เริ่มผ่อนคลายท่าทีต่อความขัดแย้งทางการค้า แต่การบรรลุข้อตกลงอาจไม่ได้เกิดขึ้นเร็ว จากการคาดการณ์อ้างอิง (Reference Forecast) ของ IMF ประเมินว่า GDP จีนในปี 2568 จะเติบโต 4.0% จากเดิมคาด 4.6% ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรง แม้นายโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวอ้างว่า จีนได้เริ่มพูดคุยกับสหรัฐฯ แต่จีนออกมาปฏิเสธข้ออ้างดังกล่าว นอกจากนี้ จีนประกาศพร้อมตอบโต้ชาติอื่น หากทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ในรูปแบบที่ส่งผลเสียต่อจีน อย่างไรก็ตาม จีนกำลังเริ่มพิจารณายกเว้นภาษีในอัตรา 125% กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ บางรายการ เช่น เคมีภัณฑ์
ท่าทีของจีนและสหรัฐฯ ล่าสุด อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า แต่การเข้าสู่โต๊ะเจรจาและการบรรลุข้อตกลงทางการค้าเพื่อลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญนั้น อาจไม่ได้เกิดขึ้นเร็วอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง วิจัยกรุงศรีประเมินว่า แม้ทั้งสองชาติอาจปรับลดภาษีศุลกากรระหว่างกันลงสู่ระดับราว 60% แต่ผลกระทบยังค่อนข้างมาก โดย GDP และการส่งออกจีนในระยะยาวจะลดลง -0.63% และ -5.71% ตามลำดับ ใกล้เคียงกับกรณีที่เก็บภาษีมากกว่า 100% ซึ่งคาดว่าจะกระทบ GDP -0.75% และการส่งออก -6.08% ตามลำดับ
เศรษฐกิจไทย
แม้การส่งออกของไทยในช่วงไตรมาสแรกเติบโตสูง แต่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้การส่งออกทั้งปีไม่เติบโต
มูลค่าส่งออกเดือนมีนาคมทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์และขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี ท่ามกลางแรงกดดันจากความไม่แน่นอนขอนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนมีนาคมอยู่ที่ 29.5 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ที่ 17.8% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าส่งออกขยายตัว 15.1% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (+80.2%) แผงวงจรไฟฟ้า (+41.5 %) ยางพารา (+19.5%) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (+19.1%) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (+17.3%) และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+5.6%) ขณะที่การส่งออกในบางกลุ่มหดตัว อาทิ น้ำตาลทราย (-27.7%) ข้าว (-23.4%) และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (-15.1%) ด้านตลาดส่งออกพบว่าขยายตัวในทุกตลาดหลัก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ และจีนที่โตสูง 34.3% และ 22.2% ตามลำดับ สำหรับในไตรมาสแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 81.5 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 15.2%
มูลค่าส่งออกในเดือนมีนาคมที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ อาจเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งนำเข้าเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดแม้มีการประกาศเลื่อนการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) กับประเทศต่างๆ ออกไป 90 วัน แต่ยังคงเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐานที่ 10% และเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 145% ขณะที่จีนโต้กับด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯในอัตรา 125% สถานการณ์ดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อครบกำหนดระยะเวลาในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
วิจัยกรุงศรีประเมินในกรณีเลวร้าย หากไทยต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าตอบโต้ที่ 36% เกิน 6 เดือน หรือผลจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯพบว่าไทยเผชิญอัตราภาษีที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม (อัตราภาษีเดิมประกาศที่ 46%) จะทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ในกรณีนี้การส่งออกโดยรวมในปี 2568 อาจไม่สามารถขยายตัวได้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
IMF ประเมิน GDP ไทยปีนี้เติบโตต่ำสุดในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ด้านวิจัยกรุงศรีประเมินหากการส่งออกไม่โตในปีนี้ GDP ไทยอาจขยายตัวเพียง 1.5-1.8% กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงานประมาณการอ้างอิง (Reference forecast) ซึ่งยังไม่ใช่กรณีฐาน (Baseline) โดยคำนึงถึงมาตรการภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ประกาศจนถึงวันที่ 4 เมษายน และการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย IMF คาดว่า GDP จะขยายตัวเพียง 1.8% ในปี 2568 และ 1.6% ในปี 2569 เทียบกับประมาณการเดิมที่ 2.9% และ 2.6% ตามลำดับ ทั้งนี้ เป็นอัตราเติบโตต่ำกว่า 2% เพียงประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียน ขณะเดียวกัน IMF ชี้ว่า ASEAN จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เนื่องจากมีความเชื่อมโยงทางการค้ากับจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีครั้งนี้
วิจัยกรุงศรีประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.7% โดยได้รับทั้งผลกระทบระยะสั้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวแล้ว และยังถูกซ้ำเติมจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เบื้องต้นวิจัยกรุงศรีได้จัดทำประมาณการ GDP ของไทยในปี 2568 ภายใต้ 3 ฉากทัศน์ ได้แก่ (i) หากสหรัฐฯ คงอัตราภาษีนำเข้าพื้นฐานที่ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่า GDP ไทยจะขยายตัวที่ 2.22.4% (ii) หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีตอบโต้ที่ 36% เป็นระยะเวลา 36 เดือน GDP อาจชะลอลงมาอยู่ที่ 1.92.1% และ (iii) หากมาตรการภาษีตอบโต้ดำเนินต่อเนื่องเกิน 6 เดือน หรือหากไทยคู่แข่งประสบความสำเร็จในการเจรจากับสหรัฐฯ จนทำให้อัตราภาษีนำเข้าต่ำกว่าไทย กรณีดังกล่าว GDP ไทยอาจขยายตัวเพียง 1.51.8% ในปีนี้ ทั้งนี้ การจัดทำฉากทัศน์ดังกล่าวสะท้อนความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อภาคการส่งออก การลงทุน และความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจไทยตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้