แชร์

ผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ส่งผลกระทบชัดเจนขึ้นต่อเศรษฐกิจประเทศสำคัญของโลก

อัพเดทล่าสุด: 7 พ.ค. 2025
187 ผู้เข้าชม

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวมากขึ้น หนุนเฟดปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ในเดือนเมษายน แม้การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดที่ 1.77 แสนตำแหน่ง แต่ชะลอลงจาก 1.85 แสนตำแหน่งในเดือนมีนาคม ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.2% อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ (JOLTS) ในเดือนมีนาคมปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 7.19 ล้านตำแหน่ง

แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานจะออกมาดีกว่าคาด แต่ข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ความเชื่อมั่นผู้บริโภค การบริโภคภาคเอกชน PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ รวมถึงตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ ยังคงบ่งชี้ถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และสอดคล้องกับ GDP ในไตรมาส 1 ที่หดตัวลง -0.3% QoQ annualized ซึ่งไม่เพียงเป็นผลจากการเร่งนำเข้าล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านราคาจากปรับขึ้นภาษีศุลกากร แต่ยังเป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในวงกว้างโดยเฉพาะการบริโภคที่เติบโตต่ำสุดในรอบ 7 ไตรมาส ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเริ่มลดดอกเบี้ยตั้งแต่กลางปีนี้ และมีแนวโน้มปรับลดสู่ระดับ 3.503.75% ภายในสิ้นปี เพื่อพยุงเศรษฐกิจและผ่อนคลายภาวะการเงินในระยะข้างหน้า

BOJ คงดอกเบี้ย พร้อมปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ สะท้อนความเสี่ยงขาลงเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% พร้อมปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 จาก 1.1% เหลือ 0.5% และคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) จาก 2.4% เหลือ 2.2% จากข้อพิพาททางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้เศรษฐกิจและเงินเฟ้อของญี่ปุ่นชะลอลง อย่างไรก็ตาม BOJ ยังส่งสัญญาณยึดแนวทางการขึ้นดอกเบี้ย

เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่คาดนำไปสู่การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญและกระทบกับภาคการผลิตและส่งออกของญี่ปุ่น แม้การอ่อนค่าของเงินเยนและการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนปรับภาษี (Frontloading) จะหนุนการส่งออกในไตรมาสแรก แต่การแข่งขันจากสินค้าจีนในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น อุปสงค์จากต่างประเทศที่ชะลอตัว รวมถึงความเสี่ยงจากนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) โดยเฉพาะหากอัตราภาษีกลับไปอยู่ที่ระดับ 24% ตามที่ทรัมป์ประกาศไว้รอบแรก หรือการเจรจาล้มเหลว อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในระยะต่อไป ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีวิจัยจึงคาดว่า BOJ จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อเนื่อง ก่อนพิจารณาปรับขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี

เศรษฐกิจจีนเริ่มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ขณะที่ทิศทางการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ชัดเจน ทางการ (NBS) รายงานตัวเลข PMI ภาคการผลิตพลิกกลับมาหดตัวจาก 50.5 ในเดือนมีนาคมเป็น 49 ในเดือนเมษายน ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 เช่นเดียวกับดัชนีย่อยคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออก ซึ่งหดตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี จาก 49 เป็น 44.7 ส่วนดัชนี PMI นอกภาคการผลิตชะลอลงจาก 50.8 เป็น 50.4 ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาฯ 100 อันดับแรกหดตัวชะลอลงจาก -11.4% YoY เป็น -8.7%

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจล่าสุดของจีนสะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณการชะลอตัวในภาคการผลิตจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าตอบโต้กันระหว่างจีนและสหรัฐฯ จนแตะระดับสูงกว่า 100% รวมถึงแรงกดดันจากภาคอสังหาฯ  อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังคงสงวนท่าทีและไม่เร่งเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่เลือกใช้แนวทางการช่วยเหลือธุรกิจแบบเฉพาะจุด โดยงดเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ บางรายการ เช่น เภสัชภัณฑ์ ไมโครชิป และอีเทน รวมถึงให้ผู้ประกอบการระบุสินค้าสำคัญที่ต้องการงดเว้นภาษี แม้ท่าทีระหว่างสองชาติเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง แต่วิจัยกรุงศรีมองว่า จีนกำลังเลือกแบกรับผลกระทบเชิงลบในระยะสั้น เพื่อสร้างแรงกดดันอย่างหนักให้กับสหรัฐฯ และเป็นแต้มต่อในการเจรจาในระยะข้างหน้า

เศรษฐกิจไทย

ความเสี่ยงขาลงที่เพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจไทยเพิ่มโอกาสกนง.ลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยขนาดการปรับลดอาจขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการเจรจาการค้า

เศรษฐกิจชะลอลงในเดือนมีนาคมจากการบริโภค การลงทุน และการท่องเที่ยว หลายสถาบันทยอยปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงใกล้ระดับ 2% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาพรวมเศรษฐกิจในเดือนมีนาคมชะลอลงจากเดือนก่อน ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ปรับลดลงในทุกหมวด (-0.5% MoM sa) โดยเฉพาะในหมวดบริการที่ลดลงจากกลุ่มโรงแรมและภัตตาคารเป็นสำคัญ สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่ลดลง ด้านการลงทุนภาคเอกชนปรับลดลงต่อเนื่อง (-1.0% MoM sa) โดยปรับลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และหมวดยานพาหนะเป็นสำคัญ ขณที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างทรงตัว สำหรับการส่งออกหากหักทองคำและขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วลดลงจากเดือนก่อนเช่นกัน (-0.2% mom sa)

แม้เครื่องชี้เศรษฐกิจส่วนใหญ่ในเดือนมีนาคมชะลอลงจากเดือนก่อน แต่โดยภาพรวมในไตรมาสแรกของปี 2568 เศรษฐกิจยังมีการฟื้นตัวจากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน จากแรงขับเคลื่อนของการใช้จ่ายภาครัฐ และการส่งออกสินค้าที่เร่งขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันมากขึ้น สะท้อนจากการปรับลดคาดการณ์ของหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งธปท.และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งล่าสุดได้ปรับลดประมาณการ GDP ไทยในปีนี้ลงเหลือ 2% และ 2.1% ตามลำดับ นอกจากนี้ Moodys สถาบันจัดอันดับความเชื่อถือได้ปรับลดแนวโน้ม (Outlook) ของไทยจากระดับมีเสถียรภาพ (Stable) เป็นเชิงลบ (Negative) เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นช้าหลังวิกฤตโควิดและมีแนวโน้มเติบโตต่ำ ขณะเดียวกันสถานะทางการคลังอ่อนแอลงจากระดับหนี้สาธารณะที่เร่งตัวขึ้น อีกทั้งยังเผชิญความเสี่ยงที่ภาคส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ

กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1.75% และมีสัญญาณอาจผ่อนคลายต่อเนื่องซึ่งขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้า การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 30 เมษายน มีมติ 5 ต่อ 2 ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 1.75% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลงและมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าจากประเทศเศรษฐกิจแกนหลัก ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยคาดว่า GDP ไทยในปี 2568 จะขยายตัว 2% กรณีการเจรจาการค้ามีความยืดเยื้อและสหรัฐฯ คงภาษีไว้ที่ 10% แต่กรณีที่รุนแรงขึ้นหากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯอยู่ในอัตราที่สูงอาจส่งผลให้ GDP เติบโตเพียง 1.3%

ภายใต้บริบทที่ความเสี่ยงด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยทวีแรงขึ้น กนง. ได้ปรับลดประมาณการ GDP ปี 2568 ลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 2.9% เหลือ 2.0% (Reference scenario) พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะลดลงต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายที่ 1% จึงตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.75% ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้นับเป็น pre-emptive move ในการรับมือกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง สาเหตุหลักจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง

กนง. ยังส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลายอย่างชัดเจนหรือเปิดโอกาสสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม โดยในแถลงการณ์ระบุว่า นโยบายการค้าโลกของประเทศเศรษฐกิจหลักในอนาคตยังคาดเดาได้ยาก ส่งผลต่อการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไป นอกจากนี้ ในการแถลงข่าว ธปท. ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้เกี่ยวกับวัฏจักรขาลงของดอกเบี้ย โดยเฉพาะภายใต้แนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงและความไม่แน่นอนที่อาจยืดเยื้อไปถึงปีหน้า

ทั้งนี้ ด้วยจุดยืนเชิงผ่อนคลายของกนง.ข้างต้นและการสื่อสารในการแถลงข่าวของธปท.ดังกล่าว วิจัยกรุงศรีประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนมิถุนายน เนื่องจากความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้าจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออก สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีซึ่งเป็นช่วงที่กนง.ประเมินว่าการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐจะเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนขึ้นนั้น แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายและ terminal rate จึงขึ้นอยู่กับพัฒนาการและการความคืบหน้าของการเจรจาการค้าเป็นสำคัญ


บทความที่เกี่ยวข้อง
กรุงเทพประกันชีวิต ครบรอบ 74 ปี ขนทัพผลิตภัณฑ์ จัดโปรเด็ด 7 ต่อ  ร่วมงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 24 ชวนคนไทยวางแผนอนาคตอย่างมั่นใจ
กรุงเทพประกันชีวิต ร่วมออกบูทในงาน วันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 24 ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด LIFE EQUALITY FOR BETTER สุขคู่ขนาน สานทุกชีวิต
16 ก.ค. 2025
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย คว้า 4 รางวัลระดับโลก  จากเวที Eventex Awards 2025 และ Event Marketing Awards 2025 ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม!
บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญบนเวทีระดับโลก ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์และการสร้างสรรค์ประสบการณ์
16 ก.ค. 2025
วิริยะประกันภัย ร่วมงานแถลงจัดกิจกรรม The COP Charity Run 2025
พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ประธานกรรมการมูลนิธิ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ให้การต้อนรับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมี พลตำรวจโท จิรสันต์ แก้วแสงเอก ที่ปรึกษางานสินไหมทดแทนรถยนต์ และนางสาวกานดา
16 ก.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy