แชร์

EXIM BANK ชี้การส่งออกไทยไตรมาส 3 ปี 2568 มีสัญญาณชะลอตัว ท่ามกลางสงครามการค้าที่มีความไม่แน่นอนสูง

อัพเดทล่าสุด: 5 มิ.ย. 2025
100 ผู้เข้าชม

ดัชนีชี้นำการส่งออกของไทยในช่วง 3 เดือนข้างหน้าหรือ EXIM Index ล่าสุด ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 100.5 ลดลงจากระดับ 102.5 ในไตรมาส 1 และถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส สะท้อนการส่งออกไทยไตรมาส 3 ปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญจากเศรษฐกิจและการค้าโลกที่เผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีของทรัมป์ ภาคการผลิตไทยที่ยังซบเซา ราคาส่งออกและความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วโลกที่ลดลง ทั้งนี้ ต้องติดตามคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศและศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการภาษี ขณะเดียวกันต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด หากไทยสามารถบรรลุข้อตกลงภาษีในอัตราที่ไม่สูงไปกว่าคู่แข่ง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) คาดว่า การส่งออกไทยปี 2568 จะยังขยายตัวได้ที่ 0.5-1.5%

EXIM BANK เปิดเผยว่า แม้ล่าสุดสงครามการค้าจะเริ่มมีสัญญาณดีขึ้น หลังสหรัฐฯ และจีนมีการเจรจาพักรบกันชั่วคราว โดยต่างฝ่ายต่างปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าลงฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน (สหรัฐฯ เก็บภาษีจีนเหลือ 30% และจีนเก็บภาษีสหรัฐฯ เหลือ 10%) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูง และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ Downside Risks ยังคงปกคลุมการส่งออกของไทยตลอดช่วงครึ่งหลังของปี 2568 สะท้อนได้จากดัชนีชี้นำการส่งออกของไทย (EXIM Index) ล่าสุด ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 100.5 ต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส จากปัจจัยกดดันใน 4 มิติ ดังนี้

มิติที่ 1 : เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญเริ่มชะลอลง (ดัชนีด้านอุปสงค์อยู่ที่ 100.7 ต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส)

กิจกรรมทางเศรษฐกิจของหลายประเทศส่งสัญญาณชะลอลง โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งหลักของสงครามการค้าครั้งนี้ และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 และ 2 ของไทย (สัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของมูลค่าส่งออกรวม) สะท้อนได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ณ เดือนเมษายน 2568 ของทั้งสองประเทศปรับลดลงมาอยู่ในโซนหดตัวพร้อมกันครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ประกอบกับหากพิจารณา GDP ไตรมาส 1 (q-o-q) ของสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาหดตัวครั้งแรกในรอบ 12 ไตรมาสที่ 0.2% นอกจากนี้ การส่งออกของหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงไทยไปสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นแบบ Front-Load ในไตรมาส 1 ปี 2568 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 2 หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีในอัตราสูงสุดกับประเทศส่วนใหญ่และจีนออกไป 90 วัน สิ้นสุด ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 และ 12 สิงหาคม 2568 ตามลำดับ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า หลังช่วงเวลาดังกล่าวคำสั่งซื้อจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากที่มีการเร่งนำเข้าในช่วงก่อนหน้าไปแล้ว

มิติที่ 2 : ภาคการผลิตไทยยังไม่กระเตื้อง (ดัชนีด้านอุปทานอยู่ที่ 99.4 ต่ำสุดในรอบ 2 ไตรมาส)

เมื่อพิจารณาด้านอุปทานยังมีความน่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการผลิตของไทยที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ณ เดือนมีนาคม 2568 ยังหดตัว 5 เดือนติดต่อกัน เช่นเดียวกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ต่ำกว่า 60% เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจด้านภาวะส่งออกใน 3 เดือนข้างหน้าก็หดตัวครั้งแรกในรอบ 6 เดือน จากความกังวลเรื่องภาษีของทรัมป์ ประกอบกับหลายอุตสาหกรรมของไทยยังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสร้างแรงกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภาคการผลิตและการส่งออกของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs

นอกจากนี้ ผู้ส่งออกไทยอาจเผชิญกับต้นทุนโลจิสติกส์ที่เร่งตัวขึ้นระยะสั้น หลังค่าระวางเรือทั่วโลก โดยเฉพาะเส้นทางจากจีนไปสหรัฐฯ ขยับขึ้นตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม 2568 จากความต้องการตู้คอนเทนเนอร์ที่เพิ่มขึ้น สะท้อนได้จากยอดจองตู้คอนเทนเนอร์จากจีนไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 150% ในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากมีการเร่งส่งออกอีกครั้งหลังสหรัฐฯ กับจีนพักรบกันชั่วคราว ขณะเดียวกันในระยะถัดไป สหรัฐฯ ยังเตรียมเก็บค่าธรรมเนียมเรือที่สร้างในจีนและ/หรือเรือสัญชาติจีนในเดือนตุลาคม 2568 เพิ่มเติมอีกด้วย ไม่เพียงเท่านี้ผู้ส่งออกทางเรืออาจเผชิญข้อจำกัดด้านเวลาในการขนส่งให้ทันวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ก่อนที่ทรัมป์อาจกลับมาขึ้นภาษีกับไทยที่ 36% ทำให้การส่งออกหลังจากนี้อาจชะลอลงเพื่อรอความชัดเจนในการเจรจาก่อน

มิติที่ 3 : ราคาส่งออกถูกกดดันจาก Demand ที่ไม่สดใสและ Supply ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น (ดัชนีด้านราคาอยู่ที่ 99.8 ต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส)

ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงต่อเนื่องจนอยู่ต่ำกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี จากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง และการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรโลกก็มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ต้นปี 2568 จากอุปทานในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนหลายประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญโดยเฉพาะอินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้งตั้งแต่ปลายปี 2567 กดดันให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลงอย่างมาก ปัจจัยข้างต้นมีส่วนทำให้ดัชนีราคาส่งออกของไทยเดือนมีนาคม 2568 ขยายตัวต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) และธนาคารโลกคาดว่า ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรโลกปี 2568 มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนราว 20% และ 4% ตามลำดับ สิ่งที่เกิดขึ้นแม้จะทำให้ต้นทุนการผลิตและต้นทุนขนส่งของผู้ประกอบการบางส่วนลดลง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ส่งผลกดดันให้มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตร (สัดส่วนราว 10% ของส่งออกรวม) และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน (สัดส่วนราว 10% ของส่งออกรวม) ปรับลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

มิติที่ 4 : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วโลกยังเปราะบาง สะท้อนทิศทางการค้าโลกมีแนวโน้มซบเซา (ดัชนีด้านความเชื่อมั่นอยู่ที่ 100.1 ต่ำสุดในรอบ 8 ไตรมาส)

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของหลายประเทศทั่วโลกปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2568 ทั้งจีน ยุโรป และญี่ปุ่น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่แม้จะเร่งขึ้นระยะสั้นแต่ยังอยู่ในเกณฑ์แย่ลง (ต่ำกว่า 100) โดยผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัว+เงินเฟ้อสูง) จากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีของทรัมป์ สะท้อนทิศทางการค้าโลกในระยะข้างหน้าที่มีแนวโน้มชะลอลง

แม้ล่าสุดตัวเลขการส่งออกของไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 จะขยายตัวได้ 14% จากการเร่งนำเข้าของสหรัฐฯ ก่อนการปรับขึ้นภาษีแบบตอบโต้ของทรัมป์ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการส่งออกไทยช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 จะเผชิญความท้าทายมากขึ้นและถือเป็นห้วงเวลา Turning Point สำคัญ สอดคล้องกับทิศทางของ EXIM Index ที่ลดลงจากทั้ง 4 มิติที่กล่าวข้างต้น โดยเฉพาะหากหลัง 90 วันของการเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าจากไทยสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ไทยยังเจรจาไม่สำเร็จ ส่งผลให้ภาษีกลับมาอยู่ในระดับสูงสุดที่ 36% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศ รวมถึงจีนที่ถูกเก็บภาษีในอัตรา 30% จนถึงวันที่ 12 สิงหาคม 2568 ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบคู่แข่งเพิ่มเติม กดดันคาดการณ์ส่งออกในครึ่งปีหลัง และทำให้ทั้งปีขยายตัวเหลือ 0.5-1.5%

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีทรัมป์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวรับมือประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่ 1) เข้าถึงคู่ค้าของตนเอง ด้วยการติดต่อประสานงานกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อยืนยันการรับสินค้าและตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านภาษี 2) เข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและการประกันการส่งออก 3) เข้าสู่ตลาดใหม่ ด้วยการแสวงหาตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อกระจายความเสี่ยง และ 4) เข้าใจและติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาใช้ประเมินผลกระทบและปรับกลยุทธ์ให้ได้อย่างทันท่วงที

ปัจจุบัน EXIM BANK ได้เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเปิด Export Clinic ให้คำปรึกษาแนวทางในการปรับตัว มาตรการช่วยเหลือทางการเงินทั้งการยืดหนี้ เสริมสภาพคล่อง และกระจายตลาดใหม่ ๆ ตลอดจนบริการเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงรอบด้าน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถฝ่าฟันสงครามการค้าครั้งนี้ และกลับมาเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป


บทความที่เกี่ยวข้อง
กรุงเทพประกันชีวิต ครบรอบ 74 ปี ขนทัพผลิตภัณฑ์ จัดโปรเด็ด 7 ต่อ  ร่วมงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 24 ชวนคนไทยวางแผนอนาคตอย่างมั่นใจ
กรุงเทพประกันชีวิต ร่วมออกบูทในงาน วันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 24 ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด LIFE EQUALITY FOR BETTER สุขคู่ขนาน สานทุกชีวิต
16 ก.ค. 2025
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย คว้า 4 รางวัลระดับโลก  จากเวที Eventex Awards 2025 และ Event Marketing Awards 2025 ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม!
บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญบนเวทีระดับโลก ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์และการสร้างสรรค์ประสบการณ์
16 ก.ค. 2025
วิริยะประกันภัย ร่วมงานแถลงจัดกิจกรรม The COP Charity Run 2025
พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ประธานกรรมการมูลนิธิ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ให้การต้อนรับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมี พลตำรวจโท จิรสันต์ แก้วแสงเอก ที่ปรึกษางานสินไหมทดแทนรถยนต์ และนางสาวกานดา
16 ก.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy