แชร์

ทางรอดภาคก่อสร้างไทย ต้องใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย

อัพเดทล่าสุด: 20 มิ.ย. 2025
220 ผู้เข้าชม

KEY SUMMARY

ภาคก่อสร้างไทยเผชิญวิกฤติที่สะสมต่อเนื่อง ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังต้องยกระดับ Productivity ไปจนถึงความท้าทายในการประกอบธุรกิจด้านต้นทุน และสภาพคล่อง รวมถึงต้องยกระดับความสามารถในการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืน - Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึงในระยะ 10 ปี ที่ผ่านมา Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างยังไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้มากนัก โดยมีอัตราการขยายตัวที่ 2.7%CAGR ซึ่งยังต่ำกว่าภาคบริการกลุ่มอื่น ๆ อย่างกิจกรรมโรงแรม และบริการด้านอาหาร นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายในการประกอบธุรกิจ ทั้งข้อจำกัดทางด้านรายได้ การรับงานก่อสร้างใหม่ ๆ และการบริหารจัดการด้านต้นทุน ซึ่งอาจทำให้เผชิญปัญหาด้านสภาพคล่องของกิจการตามมา - ความต้องการสิ่งปลูกสร้างที่สอดคล้องกับเทรนด์การสร้างความยั่งยืน เช่น อาคารที่ได้รับรองมาตรฐานด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาวะของผู้ใช้งาน อาคารอัจฉริยะ เป็นแรงกดดันให้ผู้รับเหมาก่อสร้างจำเป็นต้องมีการแข่งขันยกระดับความสามารถในการก่อสร้าง ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างได้ การนำเทคโนโลยีมาใช้ จะช่วยเพิ่ม Productivity และบริหารจัดการความท้าทายต่าง ๆ ในการประกอบธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงสร้างความสามารถในการแข่งขันเข้าประมูลงานก่อสร้าง - เทคโนโลยีที่ผู้รับเหมาก่อสร้างมีการใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่ ซอฟต์แวร์ด้านการออกแบบและก่อสร้าง เทคโนโลยีก่อสร้างแบบสำเร็จรูป และการใช้บริการแพลตฟอร์มตัวกลาง ทั้ง B2B และ B2C ทั้งนี้ในปัจจุบันผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ และรายกลางบางส่วนเริ่มมีการนำ BIM และ 3D Printing มาใช้แล้ว นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการนำ AI มาใช้ เช่น ขั้นตอนการออกแบบ และสร้างแบบจำลองสามมิติ การเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ภูมิอากาศ เพื่อวางแผนการดำเนินโครงการก่อสร้าง อีกทั้ง ยังสามารถนำ AI มาใช้เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายในพื้นที่ก่อสร้าง - สำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็กควรเร่งยกระดับการใช้ BIM เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน และเป็นผู้รับเหมาช่วงของผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่มีการใช้ BIM อยู่แล้วได้ อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีมาใช้ในระยะแรก จะต้องลงทุนด้านเทคโนโลยี รวมถึงพัฒนาองค์ความรู้ และทักษะแรงงาน ผู้รับเหมาก่อสร้างควรร่วมมือเป็นพันธมิตรกับผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ ที่มีเทคโนโลยีก่อสร้าง ที่ทันสมัย เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น เพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้แผ่นดินไหว ในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีก่อสร้างที่ทันสมัย โดยผู้รับเหมาก่อสร้างไทยควรสร้างความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ

ภาคก่อสร้างไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านใดบ้าง

Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึงในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้มากนัก มูลค่าภาคก่อสร้างไทยอยู่ในระดับสูงราวปีละ 1.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของมูลค่า GDP แต่หากพิจารณาทางด้าน Productivity แล้ว จะพบว่า Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึงในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างไทยยังไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้มากนัก โดยมีอัตราการขยายตัวที่ 2.7%CAGR ซึ่งหากเปรียบเทียบกับภาคบริการด้วยกันเอง ยังเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างกิจกรรมโรงแรม และบริการด้านอาหาร ซึ่งมีอัตราการขยายตัวที่ 5.1%CAGR และการขายส่ง ขายปลีก ซ่อมแซมยานยนต์ รถจักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคล และของใช้ในครัวเรือน ซึ่งมีอัตราการขยายตัวที่ 4.1%CAGR โดยเป็นผลมาจากการที่ภาคก่อสร้างไทยยังไม่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่ม Productivity ได้มากเท่ากับกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เนื่องจากมีรูปแบบการทำงานที่มีผู้ประกอบอาชีพงานพื้นฐานจำนวนมาก1 อีกทั้ง ยังสามารถพึ่งพาแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในภาคก่อสร้างไทยจำนวนมากได้

ต้นทุนก่อสร้าง ทั้งค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงาน ยังอยู่ในระดับสูง ปัจจุบันต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างคิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของต้นทุนก่อสร้างโดยรวม เพิ่มขึ้นจากในช่วงปี 2018 ที่คิดเป็นสัดส่วนราว 55% ของต้นทุนก่อสร้างโดยรวม โดยราคาวัสดุก่อสร้างหลัก ทั้งเหล็กทรงยาว และปูนซีเมนต์ ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยในอดีต ประกอบกับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น สงครามการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคาพลังงานมีความผันผวน และถูกส่งผ่านมายังต้นทุนการผลิต และการขนส่งวัสดุก่อสร้างตามมา นับเป็นความเสี่ยงด้านต้นทุนก่อสร้างที่ผู้รับเหมาก่อสร้างยังต้องเผชิญอยู่ในระยะข้างหน้า

ในส่วนของต้นทุนค่าแรงงานคิดเป็นสัดส่วนราว 20-30% ของต้นทุนก่อสร้างโดยรวม โดยภาคก่อสร้างมีรูปแบบการทำงานที่มีผู้ประกอบอาชีพงานพื้นฐานเป็นหลัก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความเสี่ยงสูง อีกทั้ง ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่ใช้แรงงานหนัก จึงไม่จูงใจแรงงานไทยให้เข้าสู่ภาคก่อสร้าง และนำมาสู่สถานการณ์การพึ่งพาแรงงานต่างชาติกลุ่ม CLMV ในสัดส่วนสูง โดยในปี 2024 แรงงานต่างชาติกลุ่ม CLMV คิดเป็นสัดส่วนราว 54-58% ของจำนวนแรงงานพื้นฐานในภาคก่อสร้างโดยรวม ทั้งนี้ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ภาคก่อสร้างไทยเผชิญภาวะขาดแคลน

แรงงาน โดยแรงงานกลุ่ม CLMV ในภาคก่อสร้างออกจากไทยไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ค่าแรงงานปรับตัวสูงขึ้น แม้หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง แรงงานกลุ่ม CLMV ได้ทยอยกลับมาทำงานในภาคก่อสร้างจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ค่าแรงงานในภาคก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นจนอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 400 บาท/วัน สูงกว่าค่าแรงงานขั้นต่ำในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ล่าสุดกำหนดไว้ที่ 400 บาท/วัน นับเป็นแรงกดดันด้านต้นทุนที่ผู้รับเหมาก่อสร้างเผชิญอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เผชิญปัญหาด้านสภาพคล่องของกิจการ โดยผู้รับเหมาก่อสร้างที่รับงานภาครัฐเป็นหลักเผชิญความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ ส่งผลให้สูญเสียโอกาสในการรับงานก่อสร้างใหม่ ๆ ราคากลางในการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างที่อาจไม่สอดคล้องกับต้นทุนก่อสร้าง ท่ามกลางสถานการณ์การประมูลที่ยังมีการแข่งขันด้านราคา การเบิกจ่ายค่า K ที่อาจเป็นไปอย่างล่าช้า ตลอดจนสูตรการคำนวณค่า K ที่ไม่สะท้อนต้นทุนการก่อสร้างที่แท้จริง 2

ในส่วนของผู้รับเหมาก่อสร้างที่รับงานภาคเอกชนเป็นหลัก โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัย ยังเผชิญข้อจำกัดในการรับงานก่อสร้างใหม่ ๆ จากผลของการกลับมาหดตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องในปี 2025 โดยการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลให้หน่วยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2020 และ 2021 หดตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ -38%YOY และ -17%YOY ตามลำดับ แม้หน่วยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ในปี 2022 แต่ก็กลับมาหดตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2023 และ 2024 ที่ -5%YOY และ -39%YOY ตามลำดับ จากปัจจัยกดดันด้านกำลังซื้อในกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่ฟื้นตัวช้า และผู้ซื้อที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังเผชิญข้อจำกัด ในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับในปี 2025 SCB EIC คาดว่า หน่วยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องที่ -13%YOY ลงมาอยู่ที่ระดับ 53,000 หน่วย โดยนอกจากกำลังซื้อในกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่ฟื้นตัวช้า และข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่องแล้ว ตลาดที่อยู่อาศัยยังต้องรอความเชื่อมั่นของผู้ซื้อคอนโดมิเนียมกลับมาหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว รวมถึงเผชิญความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและไทย จากนโยบายการตั้งกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งนี้หน่วยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2025 ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาเทียบเท่ากับระดับก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ค่าเฉลี่ยหน่วยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2015-2019 อยู่ที่ 113,064 หน่วย/ปี ส่งผลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างที่รับงานภาคเอกชน โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัย ยังเผชิญข้อจำกัดในการรับงานก่อสร้างใหม่ ๆ

ทั้งนี้การใช้วัสดุก่อสร้างยังมีเศษเหลือจากการตัด/ต่อ ทำให้ระหว่างการก่อสร้างต้องมีการเผื่อการสูญเสียวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูน คอนกรีต เหล็ก กระเบื้อง อิฐ เพิ่มขึ้นอีกราว 5-10%3 จากปริมาณที่ใช้ นอกจากนี้ การทำงานในภาคก่อสร้างยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดจากการก่อสร้างผิดแบบ ทำให้ต้องแก้ไขหรือก่อสร้างใหม่ ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งมอบงานล่าช้าส่งผลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างมีต้นทุนในส่วนของค่าปรับจากการส่งมอบงานล่าช้าเพิ่มเติม และยังมีผลต่อเนื่องมายังการเบิกจ่ายค่างวดงานให้ล่าช้าออกไป ที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของกิจการ


บทความที่เกี่ยวข้อง
เส้นทางส้ม 100 ล้าน! เกรียงศักดิ์ เถ้าแก่ส้ม ปั้นโชกุนเบตงสายน้ำผึ้งฝาง  เซเว่นฯ ช่วยเปิดตลาดใหญ่ ส่งถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศ
การเติบโตของ ส้มแพ็กพร้อมทาน ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น หรือที่เรียกกันติดปากว่า ส้มเซเว่น กำลังกลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจของตลาดผลไม้ไทย เมื่อโมเดล คัดแพ็กส่ง จาก SME
15 ธ.ค. 2025
เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 4 รางวัลใหญ่จาก ก.ล.ต.  ตอกย้ำบทบาทองค์กรในการสร้างความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนอย่างยั่งยืน
บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) คว้า 4 รางวัล จากโครงการ ตลาดทุนไทยร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน เฟส 2 ปี 2568 ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
15 ธ.ค. 2025
ไทยฮอนด้า ผนึกกำลังร้านผู้จำหน่าย พร้อมกองทุนฮอนด้าเคียงข้างไทย และสื่อมวลชน ร่วมส่งมอบถุงยังชีพ 8,603 ถุง มูลค่ารวม 5.16 ล้านบาท บรรเทาผลกระทบน้ำท่วมหาดใหญ่
บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ร่วมกับร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าทั่วประเทศ พร้อมกับกองทุนฮอนด้าเคียงข้างไทย และคณะสื่อมวลชน เดินหน้าส่งต่อความห่วงใยสู่พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย
15 ธ.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy