แชร์

TUNA INDUSTRY ANALYSIS AND OUTLOOK แนวโน้มอุตสาหกรรมทูน่า

อัพเดทล่าสุด: 7 ก.ค. 2025
139 ผู้เข้าชม

ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยขยายตัว 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 6.5%YOY ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าของคู่ค้าฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย เพื่อกักตุนสินค้าก่อนครบกำหนดเส้นตายปรับขึ้นอัตราภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบในวันที่ 8 กรกฎาคม 2025 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการชะลอออกไปอีก 90 วัน นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออกทูน่ากระป๋องไปยังหลายประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) ที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ภายในภูมิภาคที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ สำหรับแนวโน้มการส่งออกทูน่ากระป๋องในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่องแม้อาจจะชะลอลงบ้างในช่วงครึ่งหลังของปีหลังการบังคับใช้ภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องในปี 2025 เติบโตได้ที่ราว 4%YOY โดยคาดว่าแนวโน้มการส่งออกจะยังได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการบริโภคอาหารประเภทโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงแต่มีราคาที่จับต้องได้ท่ามกลางกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอ รวมทั้งอานิสงส์จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อและมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะมีส่วนช่วยให้หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางมีความต้องการกักตุนสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นาน เช่น ทูน่ากระป๋อง เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาในระยะต่อไปคือ การแข่งขันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะจากคู่แข่งสำคัญอย่างเอกวาดอร์และจีน ทั้งนี้กำแพงภาษีที่สูงขึ้นจากนโยบายภาษีทรัมป์จะทำให้คู่แข่งหลักของไทยในตลาดสหรัฐฯ อย่างเอกวาดอร์ มีแต้มต่อที่ดีขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มโดนเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่ต่ำกว่าไทย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจมีผลให้คู่ค้าบางส่วนหันไปนำเข้าทูน่ากระป๋องจากเอกวาดอร์เพิ่มขึ้นแทน ขณะที่คู่แข่งอีกรายที่จะมองข้ามไม่ได้คือ จีน ซึ่งมีการพัฒนาอุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วโดยใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน ดังนั้น เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งยกระดับมาตรฐานและประสิทธิภาพการผลิต วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคา พร้อม ๆ ไปกับขยายการส่งออกไปยังตลาดผู้บริโภคที่มีศักยภาพ เช่น ภูมิภาคตะวันออกกลาง เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยังต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่มีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมง และการทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) เพื่อตอบโจทย์เทรนด์

Industry overview

อุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องมีห่วงโซ่มูลค่าเพิ่ม (Value chain) ที่ค่อนข้างยาว โดยเริ่มต้นตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ ซึ่งไทยจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งในรูปปลาทูน่าสด แช่เย็นและแช่แข็ง มากถึงกว่า 90% ของปริมาณความต้องการใช้ทั้งหมดภายในประเทศ โดยแหล่งนำเข้าหลัก 3 อันดับแรกคือ ไต้หวัน, ไมโครนีเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนที่เหลืออีกราว 10% ได้จากการทำประมงในบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ซึ่งจะเป็นกลุ่มปลาโอผิวน้ำเป็นหลัก จากนั้นก็จะนำวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิตและแปรรูปต่อไป ซึ่งเกือบทั้งหมดคือราว 97% จะถูกนำไปแปรรูปเป็นทูน่ากระป๋องเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยในปี 2024 ตลาดส่งออกหลัก 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่ สหรัฐฯ, ลิเบีย, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันราวครึ่งนึงของมูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องทั้งหมดของไทย

อนึ่ง จากข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทยพบว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตทูน่ากระป๋องและแปรรูปรวมทั้งสิ้น 46 ราย โดยส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในจังหวัดทางภาคใต้และบริเวณรอบ ๆ อ่าวไทย ซึ่งเป็นทำเลที่ใกล้บริเวณท่าเรือที่มีการนำเข้าวัตถุดิบทูน่าจากต่างประเทศหรือใกล้กับแหล่งทำประมงในประเทศ เพื่อลดต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบไปยังโรงงานแปรรูป อีกทั้ง ยังพบว่า เกือบทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่ ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่ผลิตผลิตภัณฑ์ทูน่าจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทตัวเอง (Own brand) และกลุ่มที่รับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า (OEM)

ESG รวมถึงความท้าทายจากการปรับโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตให้สอดรับกับเมกะเทรนด์สำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรนด์รักสุขภาพ รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ทันสมัยมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก

ในปีที่ผ่านมา (2024) ไทยยังคงครองแชมป์ผู้ส่งออกทูน่ากระป๋องอันดับ 1 ของโลก มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 2,344.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีส่วนแบ่งตลาดราว 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องทั้งหมดในตลาดโลก ซึ่งความสำเร็จดังกล่าว นอกจากจะเป็นผลจากการที่ผู้เล่นไทยปักหมุดอยู่ในอุตสาหกรรมนี้อย่างยาวนาน จนทำให้มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีการผลิตและทักษะฝีมือแรงงาน รวมทั้งมีอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่แข็งแกร่งและครบวงจรแล้ว ประเทศไทยยังมีความได้เปรียบในด้านทำเลที่ตั้งในการรับซื้อวัตถุดิบทูน่าจากแหล่งต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น สินค้าทูน่ากระป๋องของไทยยังมีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอีกด้วย

อย่างไรก็ดี คู่แข่งสำคัญในตลาดโลกที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดคือ จีน ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจีนจะเป็น ผู้ส่งออกทูน่ากระป๋องรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากไทย และเอกวาดอร์ แต่เราพบว่าส่วนแบ่งตลาดของสินค้าทูน่ากระป๋องจากจีนได้ทยอยปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นจาก 5.8% ในปี 2015 มาอยู่ที่ 10.8% ในปี 2024 สวนทางกับส่วนแบ่งตลาดของไทยที่ลดลงจาก 33.4% ในปี 2015 มาอยู่ที่ 25.5% ในปีล่าสุด สะท้อนถึงศักยภาพการผลิตของอุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องในประเทศจีนที่เติบโตขึ้นและมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนทำให้อุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจดาวรุ่งของจีนในปัจจุบัน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตและแปรรูปที่ทันสมัย รวมทั้งมาตรฐานเรื่องความปลอดภัยของอาหารที่เข้มงวดมากขึ้นของรัฐบาลจีน

Industry outlook and trend

ในช่วง ม.ค.-พ.ค. 2025 มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยอยู่ที่ 945.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 6.5%YOY สอดคล้องกับการส่งออกไปยังตลาดหลัก 3 อันดับแรกของไทย ได้แก่ สหรัฐฯ, ลิเบีย และออสเตรเลีย ที่เติบโตสูงขึ้นในทุกตลาด โดยมีอัตราการขยายตัวในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ที่ 22.7%YOY, 16.1%YOY และ 2.5%YOY ตามลำดับ ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกที่เติบโตสูงขึ้นดังกล่าว ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้า (Frontloading) ของคู่ค้าฝั่งสหรัฐฯ ก่อนครบกำหนดเส้นตายการชะลอการจัดเก็บภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบ 90 วัน ในวันที่ 8 กรกฎาคม ภายหลังผู้นำสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนว่าจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ รวมไปถึงการส่งออกทูน่ากระป๋องไปประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาทิ อียิปต์, จอร์แดน, เยเมน และซีเรีย ที่ขยายตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งและตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางที่คุกรุ่นมากขึ้น จนทำให้เกิดความกังวลว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจลุกลามบานปลายจนกลายเป็นสงครามระดับภูมิภาคในอนาคตได้

สำหรับปี 2025 อุตสาหกรรมทูน่ายังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องจะเติบโตได้ที่ราว 4%YOY แต่เป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอลงจากคาดการณ์ก่อนหน้า ณ ช่วงปลายปี 2024 ที่ราว 6%YOY จากผลกระทบของนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจและการค้าโลกซบเซาลง อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าแนวโน้มการส่งออกทูน่ากระป๋องในช่วงที่เหลือของปี จะยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการบริโภคโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงแต่ราคาที่จับต้องได้ท่ามกลางกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เปราะบาง รวมทั้งอานิสงส์จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) และความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน และการโจมตีในฉนวนกาซาที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมีส่วนทำให้หลายประเทศมีความต้องการกักตุนผลิตภัณฑ์อาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานโดยเฉพาะอาหารกระป๋องเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความไม่แน่นอนต่าง ๆ ในอนาคต

หากมองไปข้างหน้า ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) คือตลาดส่งออกทูน่ากระป๋องที่มีศักยภาพและน่าสนใจ เนื่องจากอุปสงค์มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง ในปีที่ผ่านมา (2024) ไทยส่งออกทูน่ากระป๋องไปยังภูมิภาคนี้มากถึงราว 1 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องทั้งหมด โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ลิเบีย, ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อิสราเอล และอียิปต์ ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากความต้องการบริโภคอาหารฮาลาลที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) และความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเอื้อให้มีความต้องการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ทูน่ากระป๋อง ยังจัดเป็นสินค้าอาหารพื้นฐานที่ได้รับความนิยมและเข้าถึงผู้บริโภคในทุกระดับรายได้ จึงสามารถบริโภคทดแทนโปรตีนจากเนื้อไก่หรือเนื้อวัวที่มีราคาสูงกว่าได้ ด้วยปัจจัยหนุนต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลให้ MENA กลายเป็นตลาดส่งออกที่มีศักยภาพเติบโตสูงและน่าจับตามอง สอดรับกับเป้าหมายของไทยในการเป็นมุ่งสู่การเป็นฮับอาหารฮาลาลของภูมิภาคอีกด้วย

Competitive landscape

สำหรับในระยะต่อไป กลยุทธ์การแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ ESG มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดหาวัตถุดิบทูน่าอย่างรับผิดชอบผ่านการทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) รวมไปถึงการปฏิบัติต่อแรงงานในอุตสาหกรรมประมงอย่างเป็นธรรม (Fair labor practice) ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ดังนั้น การปรับตัวให้สอดรับกับเมกะเทรนด์เหล่านี้จึงกลายเป็นทั้งทางรอดและโอกาสของธุรกิจ เพราะนอกจากจะเป็นการลดอุปสรรคจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) ที่มีแนวโน้มเข้มงวดและซับซ้อนมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มโอกาสทางการค้าและยกระดับศักยภาพการแข่งขันของผู้เล่นไทยได้อีกด้วย


ทั้งนี้หนึ่งในประเด็นหลักที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นในเวทีโลก คือการลด Carbon footprint ในห่วงโซ่การผลิตทูน่าอย่างครบวงจร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon neutrality ภายในปี 2050 ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมทูน่าของไทยตระหนักถึงความสำคัญเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจและกระบวนการผลิตต่าง ๆ อาทิ การใช้เทคโนโลยีการผลิตและการจัดการของเสียที่สะอาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าควรมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนสูญเสียของกระบวนการผลิต อาทิ การนำผลพลอยได้จากการผลิตทูน่ากระป๋อง (By-products) ไปผลิตเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเปียกสำหรับสุนัขและแมวที่ทำจากปลาชนิดต่าง ๆ รวมทั้งปลาทูน่า หรือแม้แต่การกลั่นและสกัดน้ำมันปลาทูน่าจากเนื้อปลาเพื่อออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายไปสู่ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดีและมีอัตรากำไรค่อนข้างสูงแล้ว ยังลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจหลัก (Core business) เพียงทางเดียว และหนุนบทบาทของไทยในฐานะผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมวอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วย

พร้อม ๆ ไปกับการปรับกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจในอนาคต เพื่อรับมือกับความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งเรื่องความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจโลก รสนิยมของผู้บริโภคในตลาดที่เปลี่ยนไป หรือแม้แต่ภาวะโลกร้อนและปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประเด็นเหล่านี้คือโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าจะมองข้ามไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประกอบการยังต้องเตรียมรับมือกับการแข่งขันในตลาดที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย ทั้งจากผู้เล่นในอุตสาหกรรมเดียวกันและจากสินค้านวัตกรรมทางเลือกใหม่ ๆ ในตลาด เช่น โปรตีนทางเลือกจากพืช (Plant-based products) หรือ Alternative protein ที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลกมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

** ผลจากฐานต่ำ (Low base effect) เนื่องจากผลประกอบการในปี 2023 ที่ติดลบ จากการบันทึกรายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียวของผู้เล่นรายใหญ่ในช่วงไตรมาส 4/2023 *** รายได้รวมและกำไรสุทธิที่หดตัวในช่วงไตรมาสแรกปี 2025 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลดลงของยอดขายผลิตภัณฑ์รับจ้างผลิต (OEM) ในยุโรป จากการที่ลูกค้ากลุ่มนี้ชะลอการสั่งซื้อสินค้าจากผลของราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งปัจจัยด้านอัตราแลกเปลี่ยนมีผลกระทบเชิงลบต่อผลการดำเนินงานโดยรวมในไตรมาสนี้เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะค่าเงินยูโร

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


บทความที่เกี่ยวข้อง
ธ.ก.ส. เปิดตัว BAAC Matching เชื่อมโยงเกษตรกรและผู้บริโภคโดยตรง  ดันสินค้าแกลมเกษตรทั่วประเทศสู่ตลาดดิจิทัลในคลิกเดียว
ธ.ก.ส. เดินหน้าหนุนเกษตรไทยสู่ตลาดดิจิทัล เปิดตัว BAAC Matching แพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะเชื่อมโยงลูกค้า ธ.ก.ส. เกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจชุมชนกับผู้บริโภคโดยตรงไว้ในที่เดียว โดยสามารถเลือกซื้อสินค้าแกลมเกษตร ที่เต็มไปด้วยคุณภาพจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ
11 พ.ย. 2025
ครั้งแรก เด็กไทยโชว์สกิล AI  ออกแบบกระปุกออมสินแห่งโลกยุคดิจิทัล
เมื่อการประกวดออกแบบกระปุกมาถึงยุค AI ธนาคารออมสิน จึงได้เชิญชวนคนรุ่นใหม่ร่วมสร้างสรรค์ประกวดออกแบบ กระปุกออมสินแห่งโลกยุคดิจิทัล ผ่าน AI Generative Tools ถ่ายทอดแนวคิดการออมในมิติใหม่
11 พ.ย. 2025
ไทยแถลงความพร้อม! เจ้าภาพ โมโตจีพี 2026 สนามเปิดฤดูกาล ใหญ่ขึ้น-สนุกขึ้น-ผู้ชมมากขึ้น ตั้งเป้าเป็นสนามที่ดีที่สุดและน่าจดจำที่สุดในปฏิทินแข่งขัน
ฐบาลไทย นำโดย การกีฬาแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แถลงข่าวความพร้อมการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโตจีพี สนามประเทศไทย ประจำปี 2569 ภายใต้ชื่อ PT Grand Prix of Thailand 2026
11 พ.ย. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy