แชร์

ส่งออก มิ.ย. ยังขยายตัวแรง และอานิสงส์สหรัฐฯ เลื่อนเก็บศุลกากรตอบโต้ไปอีก 1 เดือน ช่วยให้มุมมองทั้งปีขยายตัวได้

อัพเดทล่าสุด: 25 ก.ค. 2025
233 ผู้เข้าชม

มูลค่าส่งออกสินค้าไทยเดือน มิ.ย. 2025 ขยายตัว 15.5%YOY อยู่ที่ 28,649.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เดือนก่อน 18.4%YOY) ชะลอตัวมากกว่าที่ประเมินไว้ (SCB EIC ประเมิน 17.1% และค่ากลาง Reuter Poll 18.7%) และข้อมูลส่งออกแบบปรับฤดูกาลหดตัวลง -0.9%MOM_SA จากเดือนก่อน ภาพรวมมูลค่าส่งออกไทยช่วงครึ่งแรกของปีนี้ขยายตัวเฉลี่ย 15% (รูปที่ 1 และ 2)

ส่งออกเดือนนี้ยังได้รับแรงสนับสนุนหลายช่องทาง แต่หลายกลุ่มเริ่มส่งสัญญาณชะลอลง

(1) วัฏจักรขาขึ้นในสินค้ากลุ่มเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้ากลุ่มนี้ขยายตัวสูง 57.7% ชะลอลงจาก 104% ในเดือนก่อน โดยตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 118% เร่งขึ้นจาก 88.3% ในเดือนก่อน ขณะที่ตลาดจีนชะลอลงมาเป็น 122.8% จาก 311.6% ในเดือนก่อน และตลาดอื่นเริ่มหดตัว -2.4% จากที่เคยขยายตัวสูง 66.8% ในเดือนก่อน ทั้งนี้ การส่งออกกลุ่มนี้มีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยเดือนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 5.5% จากการเติบโตส่งออกรวม 15.5%

(2) การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีเต็มที่ ขยายตัวสูงถึง 41.9% จาก 35.1% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลักที่ยังไม่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่ขยายตัว 118%, เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบขยายตัวที่ 9.4%, แผงวงจรไฟฟ้าขยายตัวที่ 36.9% ขณะที่การส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่ถูกเก็บภาษีเฉพาะเจาะจงรายสินค้า 25% ไปแล้วนั้น หดตัว -2.6% ในเดือนนี้ ทั้งนี้การส่งออกไปสหรัฐฯ มีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 7.5% จากการเติบโตส่งออกรวม 15.5%

(3) ทองคำยังเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกที่สำคัญ การส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปยังคงขยายตัวสูงมากถึง 115.6% เร่งขึ้นจาก 59.6% ในเดือนก่อน แต่นับว่าชะลอลงมากเมื่อเทียบกับ 256% และ 272.2% ในเดือน เม.ย. และ มี.ค. 2025 โดยตลาดส่งออกสำคัญในเดือนนี้คือ สวิตเซอร์แลนด์ที่ขยายตัวสูงถึง 421.5% ทั้งนี้การส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปนี้มีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 2.4% จากการเติบโตส่งออกรวม 15.5% สำหรับประเด็นแรงส่งจากปัจจัยทองพิเศษที่เคยเกิดขึ้นในช่วงต้นปีจากการส่งออกสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าผสมทองคำผสมไปตลาดอินเดียมีสัญญาณหมดลงชัดเจน

(4) ปัจจัยฐาน มูลค่าส่งออกเดือน มิ.ย. ในปี 2024 ค่อนข้างต่ำหากเทียบค่าเฉลี่ยเดือนอื่น และค่าเฉลี่ยปกติเดือน มิ.ย. ในช่วงก่อนวิกฤติโควิด ส่งผลให้การส่งออกในเดือน มิ.ย. 2025 เติบโตค่อนข้างสูงส่วนหนึ่งจากปัจจัยฐาน

มูลค่าการนำเข้าสินค้าชะลอตัวสอดคล้องกับมูลค่าการส่งออก

มูลค่าการนำเข้าสินค้าเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 27,588.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 13.1% จาก 18.0% ในเดือนก่อน ชะลอตัวมากกว่าที่ประเมินไว้เช่นเดียวกัน (SCB EIC ประเมิน 14.5% และค่ากลาง Reuter Poll 17.8%) โดยสินค้าทุนเป็นกลุ่มสินค้าหลักที่ขยายตัวสูงถึง 38.2% (โดยเฉพาะการนำเข้าจากจีนที่ขยายตัว 48.7% จาก 45.9% ในเดือนก่อน คิดเป็นกว่า 48.6% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนของไทยทั้งหมดในเดือนนี้) ขณะที่การนำเข้าอาวุธและยุทธปัจจัย, สินค้าอุปโภคบริโภค, ยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (รวมทองคำ) ขยายตัว 29.8%, 19.8%, 11.7% และ 7.2% ตามลำดับ ด้านการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงและหดตัวต่อเนื่อง -10.6% (รูปที่ 3) ดุลการค้าไทย (ระบบศุลกากร) เดือนนี้เกินดุล 1,061.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใกล้กับที่ SCB EIC ประเมินไว้ (SCB EIC ประเมิน 1,200 และค่ากลาง Reuter Poll ที่ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ดุลการค้าขาดดุลสะสม -62.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

SCB EIC ประเมิน Frontload ส่งออกที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก และผลจากทรัมป์เลื่อนเก็บภาษีตอบโต้อีก 1 เดือน ช่วยให้มุมมองส่งออกไทยปีนี้ขยายตัวได้บ้าง แต่ปีหน้าจะเสี่ยงหดตัวแรงขึ้น

มุมมองมูลค่าส่งออกสินค้าไทยปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวได้บ้าง จากที่เคยมองว่าจะไม่เติบโต หลังข้อมูลมูลค่าส่งออกไทยยังขยายตัวได้ดีในไตรมาสสองจากการเร่งผลิตเพื่อส่งออกก่อนได้รับผลกระทบจากศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของสหรัฐฯ และผลจากสหรัฐฯ เลื่อนกำหนดขึ้นภาษีตอบโต้นี้ออกไป 1 เดือนเป็นวันที่ 1 ส.ค. ช่วยให้ภาพเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นบ้างเป็น 2.4% จากเดิม 2.3%

อย่างไรก็ดี การส่งออกไทยในช่วงท้ายปี 2025 และภาพรวมปี 2026 ยังเสี่ยงหดตัวจากผลกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มชัดขึ้นหลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษี Reciprocal tariff และ Specific tariffs ครบตามที่ประกาศไว้
และปัจจัยหนุนหลักของการส่งออกที่มีในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เริ่มหมด เช่น วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจัย Frontload ก่อนสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า และปัจจัยทองพิเศษ

Special Highlight (1) : มีเพียง 6 ประเทศที่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้แล้วหลังสหรัฐฯ ชะลอการเก็บ Reciprocal tariffs ออกไปนานกว่า 100 วัน หลายประเทศต่างทบทวนข้อเสนอหลายรูปแบบเพื่อเร่งบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ให้เร็วที่สุดก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. อย่างไรก็ดี นับถึงขณะนี้มีเพียง 6 ประเทศเท่านั้นที่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้แก่

ประเทศนอกภูมิภาคอาเซียน

สหราชอาณาจักร : สหรัฐฯ ตกลงคงอัตราภาษีตอบโต้ที่ 10% แต่ลด Product specific tariff สำหรับรถยนต์ 100,000 คันแรก เหลือ 10% จาก 25% ยกเว้นภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอากาศยานบางรายการ และกำหนดโควตาภาษีในอัตราต่ำสำหรับการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ ขณะที่สหราชอาณาจักรตกลงจะลด Non-tariff barriers ขยายการเปิดตลาดสำหรับสินค้าสหรัฐฯ เช่น เนื้อวัวและเอทานอล ปฏิบัติตามมาตรฐานความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ และเข้าร่วมการเจรจาอย่างเป็นระบบในภาคส่วนสำคัญ เช่น ยานยนต์, อากาศยาน, เหล็ก และอะลูมิเนียมเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสอดคล้องกับกฎระเบียบที่สหรัฐฯ วางไว้

จีน : สหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้เหลือ 30% (เดิม 145%) เป็นการชั่วคราว แต่หากรวมภาษีในช่วงทรัมป์ 1.0 เดิม 25% รวมสินค้าจีนถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มขึ้น 55% และสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีสำหรับสินค้าขนาดเล็กจากจีน (De Minimis) 54% (เดิม 120%) รวมถึงผ่อนคลายมาตรการกีดกันที่เคยใช้ต่อจีน ในขณะที่จีนเก็บสหรัฐฯ 10% และผ่อนคลายการควบคุมส่งออกแม่เหล็กและแร่ธาตุหายากลงบ้าง

ญี่ปุ่น : สหรัฐฯ ตกลงจะลดภาษีตอบโต้เหลือ 15% (เดิม 25%) รวมทั้งอาจลด Product specific tariff รถยนต์ญี่ปุ่นลงเหลือ 15% ด้วย (ประกาศโดย ข้อมูลจากทางการญี่ปุ่น แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากสหรัฐฯ) ขณะที่ญี่ปุ่นจะยอมให้สินค้าบางรายการของสหรัฐฯ เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น (เช่น รถบรรทุกและข้าว) อีกทั้งญี่ปุ่นจะลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ประเทศในภูมิภาคอาเซียน

เวียดนาม : สหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้เหลือ 20% (เดิม 46%) และ 40% สำหรับสินค้าประเทศอื่นที่ส่งออกผ่านเวียดนาม (ป้องกัน Transshipment โดยเฉพาะจากจีน) ขณะที่เวียดนามยอมเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ทั้งหมดโดยลดภาษีเหลือ 0% และลด Non-tariff barriers (ประกาศจากทางสหรัฐฯ) ทั้งนี้เวียดนามจะยังคงเดินหน้าต่อรองเพื่อให้ขอลดภาษีตอบโต้ลงต่ำกว่า 20%

อินโดนีเซีย : สหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้เหลือ 19% (เดิม 32%) และกรณีสินค้าประเทศที่อัตราภาษีสูงกว่าส่งออกผ่านอินโดนีเซียจะเก็บ 19% + อัตราภาษีประเทศเจ้าของสินค้าเดิม ขณะที่อินโดนีเซียยอมเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เกือบทั้งหมด (99% ไม่รวมเนื้อหมูและแอลกอฮอล์ ซึ่งขัดหลักศาสนาของประเทศ) โดยลดภาษีเหลือ 0% และลด Non-tariff barriers สำคัญหลายรายการ ยอมรับมาตรฐานการกำกับดูแลด้านสินค้าบางชนิดของสหรัฐฯ และปรับปรุงมาตรฐานแรงงาน

ฟิลิปปินส์ : สหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้เหลือ 19% (เดิม 20%) ขณะที่ฟิลิปปินส์เปิดตลาดให้สหรัฐฯ โดยลดภาษีเหลือ 0% รวมทั้งสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์มีข้อตกลงจะขยายความร่วมมือทหารระหว่างกัน (ประกาศจากทางสหรัฐฯ)

Special Highlight (2) : ความคืบหน้าการเจรจาของไทย และผลกระทบหากเปิดตลาดเสรี

การที่เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้ก่อน โดยยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ ทั้งหมด (Full access) แลกกับการขอลดอัตราภาษีตอบโต้ รวมถึงยอมให้สหรัฐฯ เก็บภาษี Transshipment (ภาษีนำเข้าสินค้าที่มีขั้นตอนการผลิตโดยใช้สินค้าจากห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศต่ำ) ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศอาเซียนอื่น ๆ ซึ่งอาจกดดันให้ไทยจำเป็นต้องรีบเจรจากับสหรัฐฯ และยื่นข้อเสนอที่ดีขึ้นต่อสหรัฐฯ เพื่อต่อรองขอลดอัตราภาษีตอบโต้ให้ใกล้เคียงคู่แข่ง เพื่อช่วยไม่ให้สินค้าออกของไทยโดยรวมเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ ล่าสุดผู้แทนทีมเจรจาของไทยสื่อสารว่า ไทยได้ยื่นข้อเสนอรอบใหม่ยอมเปิดตลาดเสรีให้สินค้าสหรัฐฯ มากขึ้นกว่าข้อเสนอรอบแรก (เพิ่มจากที่เคยเสนอสัดส่วน 64% เป็นราว 90% ของสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ โดยสัดส่วนที่เหลือคาดว่าจะเป็นสินค้าเกษตรสำคัญ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบวงกว้างต่อผู้ผลิตและการจ้างงานภายในประเทศ) เพื่อขอลดกำแพงภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ ประกาศจะเก็บไทยสูงถึง 36% ให้อยู่ในช่วง 18%-20% ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าคู่แข่ง

การที่คู่ค้าสหรัฐฯ (โดยเฉพาะอาเซียน) เปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะกระทบการส่งออกไทยสูง ผ่าน

1. ความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดคู่ค้าสำคัญอย่างภูมิภาคอาเซียน : หากประเทศอาเซียนตกลงตามบรรทัดฐานใหม่ในการเจรจากับสหรัฐฯ อาจเห็นสินค้าสหรัฐฯ ไหลเข้าตลาดอาเซียนมากขึ้น ซ้ำเติมปัญหาสินค้าจีนล้นตลาดที่มีอยู่เดิม (Twin influx) ส่งผลกดดันให้การส่งออกในภูมิภาคอาเซียนลดลง ซึ่งจะกระทบภาคส่งออกไทยสูง เนื่องจากพึ่งพาตลาดอาเซียนสูงถึง 23.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในปี 2024 รวมถึงจะกระทบต่อภาคเกษตรและภาคการผลิตในประเทศที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าจีนและสหรัฐฯ 

2. มากขึ้นผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีน : หากข้อตกลง Transshipment ระหว่างประเทศอาเซียนกับสหรัฐฯ สร้างผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจจีน อาจกดดันให้จีนใช้มาตรการภาษีตอบโต้ด้วย และกลายเป็นความเสี่ยงด้านลบต่อภาคส่งออกของอาเซียนและไทยได้เช่นกัน เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าหลักของไทยเช่นกัน (สัดส่วนการส่งออกไทยไปจีนราว 11.7% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด)
 
SCB EIC มองว่า หากไทยเปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ อาจเจอปัญหาสินค้าสหรัฐฯ ไหลเข้ามากกว่าประเทศในอาเซียน เนื่องจาก

1. ปัจจุบันผู้บริโภคไทยมีความต้องการสินค้าสหรัฐฯ มากกว่าหลายประเทศในอาเซียน แม้ไทยจะปกป้องตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศจากสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษีนำเข้าที่สูงกว่า โดยอัตราภาษีนำเข้าที่บังคับใช้จริง (Effective Applied Tariff Rate : EATR) ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer goods) ของสหรัฐฯ สูงเป็นอันดับที่ 4 ของอาเซียน แต่ปัจจุบันไทยนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากสหรัฐฯ มากเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน แม้ไทยจะปกป้องตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคจากสหรัฐฯ สูงกว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไทยมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับที่ 4 ของภูมิภาค (รูปที่ 5)

2. ปัจจุบันไทยปกป้องตลาดภายในประเทศสูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน หากเปรียบเทียบ EATR ของการนำเข้ารวม รายหมวด และรายกลุ่มสินค้าที่ไทยและประเทศในอาเซียนเก็บสินค้าสหรัฐฯ พบว่า ไทยเก็บภาษีสหรัฐฯ สูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน สะท้อนจาก 

  • การนำเข้ารวม ไทยเก็บ EATR สินค้าสหรัฐฯ (เฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก) สูงอันดับ 2 ของอาเซียนอยู่ที่ 6.2% รองจากกัมพูชาที่ 12.9% (ค่าเฉลี่ยอาเซียนไม่รวมไทย อยู่ที่ 3.9%)
  • การนำเข้ารายหมวด ไทยเก็บ EATR สินค้าสหรัฐฯ สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียนไม่รวมไทยมากถึง 3 ใน 4 หมวด โดยมีแค่สินค้าวัตถุดิบ (Raw materials) เท่านั้นที่ไทยเก็บ EATR สินค้าสหรัฐฯ น้อยกว่า
  • การนำเข้ารายกลุ่มสินค้า ไทยเก็บ EATR สินค้าสหรัฐฯ สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียนไม่รวมไทยมากถึง 9 ใน 16 กลุ่มสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร (กลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเปิดตลาด) เช่น ผักและเนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ ที่ EATR ไทยสูงถึง 38% และ 44.3% และกำหนดอัตราภาษีสูงสุดถึง 218% ในบางรายการ เทียบกับ EATR ค่าเฉลี่ยอาเซียนไม่รวมไทยที่เก็บจากสหรัฐฯ ในกลุ่มผักและเนื้อสัตว์ที่ 3.1% และ 4.8% ตามลำดับ และกำหนดอัตราภาษีสูงสุดที่ 107%

บทความที่เกี่ยวข้อง
“MEDEZE” โชว์ศักยภาพผลประกอบการไตรมาส 3/2568 กำไรสุทธิ 160 ล้านบาท เดินหน้าสู่ “Thailand’s First ATMPs” ปักธงผู้นำธุรกิจการแพทย์แห่งภูมิภาค
นางสาวอัญชิสา เหล็กเพ็ชร (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่สายบัญชีและการเงิน นายแพทย์วสวัตติ์ สร้อยทอง (ซ้าย) นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE
15 พ.ย. 2025
PSGC เดินหน้าธุรกิจเหมืองและทรัพยากร พร้อมลงทุนในบริษัทเวียดนาม กำไรสุทธิไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 888% จากไตรมาสก่อน
บริษัท พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PSGC (ชื่อย่อหลักทรัพย์ PSG) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 187.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 887.9%
15 พ.ย. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy