แชร์

ส.ผู้สื่อข่าวส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยผนึกสมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทยและเครือข่ายพันธมิตร จัดเสวนาหัวข้อ “พลิกวิกฤตสงครามการค้า สู่โอกาสใหม่ SMEs ไทยเติบโตยั่งยืน” นักวิชาการชี้ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่จากมุ่งรับผลิต (OEM)เป็นการสร้างแบรนด์ตัวเอง ขณะนายกสม

อัพเดทล่าสุด: 31 ก.ค. 2025
164 ผู้เข้าชม

30 กรกฎาคม 2568  สมาคมผู้สื่อข่าวส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ร่วมกับ สมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย SME D Bank, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) และ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven จัดเสวนาหัวข้อ พลิกวิกฤตสงครามการค้า สู่โอกาสใหม่ SMEs ไทยเติบโตยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ มุมมอง และแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ท้าทายในปัจจุบัน โดยมี รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษาชั้นแนวหน้าของประเทศไทย, นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย และ นายอนุพงษ์ แสงอรุณทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดกา  SME D Bank ร่วมเสวนา โดยมีผู้สนใจทั้งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี, นักเรียนนิสิตนักศึกษา และสื่อมวลชน เข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก

            รศ.ดร.สมภพ กล่าวถึง การเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ SMEs ในสถานการณ์สงครามการค้า โดยเฉพาะ การเตรียมรับมือสินค้าจีนทะลักเข้าไทยใน 6 เดือนหลังของปีนี้ ว่า จากนี้สภาพแวดล้อม ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ และสังคมของโลกที่เปลี่ยนไป โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ อัตราเฉลี่ยที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดไว้ที่ระดับ 15-20% ถือเป็นอัตราที่ดีที่สุด ใครสูงกว่านี้จะอยู่ยาก อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะแบกภาระภาษีดังกล่าวไม่ใช่ผู้ซื้อชาวอเมริกัน แต่จะเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับอัตราภาษีไม่เท่ากัน เพราะผู้นำเข้าจะเลือกช้อปปิ้งสินค้าจากประเทศที่มีภาษีต่ำกว่าและราคาสินค้าถูกกว่า ดังนั้น ผู้ประกอบการ SMEs ไทย จะต้องมีกำไรไม่ต่ำกว่า 25-30% ถ้าต่ำกว่านี้ จะอยู่ไม่ได้

            สำหรับ แนวโน้มของโลกต่อจากนี้ มีโอกาสที่ประเทศพัฒนาแล้วจะหันมารวมมือกันมากยิ่งขึ้น และจะหันไปทุนระหว่างกันสูงขึ้น เช่น กลุ่มทุนจากญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ หรือแม้แต่สหภาพยุโรป (อียู) จะเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อทำให้สินค้ามีภาระภาษีเหลือที่ 0% ซึ่งเป็นความได้เปรียบอย่างมาก และในสหรัฐฯเอง ก็จะมุ่งเน้นการทำงานโดยไม่พึ่งพามนุษย์ แต่จะใช้ AI เข้ามาช่วยอย่างมีนัยสำคัญ



            รศ. ดร.สมภพ กล่าวว่า ในส่วนของ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย จำเป็นจะต้องหันมาสนใจการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพให้มากขึ้น ทำอย่างไรหากต้องใช้คนทำงานเท่าเดิม ใช้เวลาและเงินทุนเท่าเดิม แต่ได้เนื้องานมากขึ้น นั่นคือ ต้องนำแนวคิดที่ว่า สมาร์ท เข้ามาใช้ในการดำเนินงาน เช่น สมาร์ท มาร์เก็ตติ่ง, สมาร์ท โลจิสติกส์ ฯลฯ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย จะต้องเตรียมการเพื่อนำมาช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนในการดำเนินงานโดยเร็ว

            ทั้งนี้ หากต้อง วิเคราะห์ถึงแนวโน้มในระยะสั้น ราว 3-6 เดือน นับจากนี้ รศ. ดร.สมภพ เชื่อว่า โลกคงวุ่นวาย หลายส่วนจะเกิดกระบวนการแปรเปลี่ยน โดยเฉพาะ การระบายสินค้า หลังจากที่จีนยังเจรจากับสหรัฐฯไม่ลงตัว โอกาสที่สินค้าจีนจะย้ายจากตลาดสหรัฐฯไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงไทยก็มีสูง ในส่วนของประเทศไทย ปัจจุบันเรานำเข้าสินค้าจากจีนด้วย 2 เหตุผล คือ 1.นำมาใช้เอง และ 2.เอามาเป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก ปัญหาเหล่านี้ ถือเป็น ปัญหาระยะสั้น ที่จะต้องเร่งแก้ไข แต่ใน ระยะกลางและยาว แล้ว จำเป็นที่ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย จะต้องเร่งปรับตัวกันใหม่ นอกจากการบริหารต้นทุนแล้ว ยังต้องวางตัวเองให้ล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลก

            เนื่องจาก รัฐบาลจีนเองจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ โดยเปลี่ยนจากประเทศที่เป็นโรงงานผลิตสินค้าของโลก มาเป็นประเทศที่เพิ่มสัดส่วนของอุตสาหกรรมการบริการให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บริการด้านการท่องเที่ยว, ด้านอาหาร, ละครซีรีส์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ฯลฯ เพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งพาภาคการผลิตเหมือนเดิม ในส่วนของสหรัฐฯได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองมาก่อนหน้านี้ กลายเป็นประเทศที่เน้นภาคบริการและมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการดำเนินงาน ที่สำคัญสหรัฐฯได้กลายเป็น ตลาดของโลก (ผู้ซื้อ/นำเข้าสินค้ารายใหญ่) ดังนั้น แม้จะมีประชากรแค่ 1 ใน 4 ของจีน แต่ก็มีอำนาจการต่อรองในเวทีโลกของสหรัฐฯ ยังมีสูงได้มากขนาดนี้ ซึ่งหากเป็นจีนภายหลังการปรับเปลี่ยนตัวเองทั้งระบบแล้ว เชื่อว่าอำนาจการต่อรองในเวทีโลกจะมีสูงมากกว่านี้อย่างแน่นอนรศ. ดร.สมภพ

            รศ. ดร.สมภพ กล่าวอีกว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยจำเป็นจะต้องเปลี่ยน มุขใหม่ (แนวคิดและวิธีการดำเนินการใหม่) เปลี่ยนจากที่มุ่งเน้นการรับจากผลิต (OEM) มาเป็นการสร้างแบรนด์ของตัวเอง เนื่องจากการเป็น OEM แม้คนไทยจะรู้ดีว่า เจ้าของสินค้าที่ส่งออกเป็นของกลุ่มทุนต่างชาติ แต่สำหรับรัฐบาลสหรัฐฯ กลับมองเห็นว่า สินค้าที่ส่งออกมาจากประเทศไทย คือ สินค้าไทยและจะต้องจัดเก็บภาษีในอัตราสูงสุด และ อีกหนึ่ง มุขใหม่ ที่ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย จะต้องเร่งดำเนินการ คือ การหันไปเน้นธุรกิจในภาคบริการให้มากขึ้น ซึ่งไม่เฉพาะแค่ภาคการท่องเที่ยว แต่ยังรวมถึงงานบริการด้านต่างๆ เช่น ด้านอาหาร สุขภาพ สปอร์ตคอมเพล็กซ์ และอื่นๆ ซึ่งหลายส่วน หากนำไปเชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรมได้ จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะไทยเรามีจุดแข็งด้านนี้อยู่แล้ว

            ทั้งนี้ จุดเด่น ของเอสเอ็มอีโดยทั่วไป คือ ขนาดที่ไม่ใหญ่ จึงทำให้มีต้นทุนดำเนินการที่ไม่สูง แต่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเข้ากับสถานการณ์ใหม่ โดยหากนำสิ่งนี้ไปเชื่อมโยงกับจีนที่กำลังปรับเปลี่ยนตัวเอง จากเดิมที่เป็น โรงงานของโลก มาเป็น ตลาดของโลก ได้ โดยที่ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ได้หันไปมุ่งเน้นการเชื่อมโยงงานภาคบริการ เข้าหาภาคการผลิต และเชื่อมโยงเข้าหาจีน ก็น่าจะเป็นโอกาสและความอยู่รอดของเอสเอ็มอีไทยในอนาคต

            หากพูดถึงเรื่องความคล่องตัวและความทันสมัยแล้ว ยังไงประเทศไทยก็ต้องพึ่งพาในเรื่องอาหาร แต่จะทำอย่างไร จึงจะเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้ ซึ่งการจะเพิ่มมูลค่าได้จะต้องมุ่งเน้นแนวคิด 7 ประการในการสร้างอาหารเพื่อการส่งออก นั่นคือ 1.มีความปลอดภัย 2.เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ 3.มีรสชาติดี 4.พร้อมทาน หรือพร้อมปรุง 5.มีแพ็กเกจจิ้งที่สวยงาม สร้างความพึงพอใจ 6.มีความรับผิดชอบต่อสังคม และ 7.เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดคือ 7 ตัวแปร ที่เราสามารถจะสร้างความแตกต่างเพื่อตอบสนองต่อเซ็กเตอร์อื่นๆ ดร.สมภพ กล่าวและย้ำว่า...

            ขอให้ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ใช้ประโยชน์จากความเล็ก แต่จะต้องพัฒนาบริการ เพื่อให้เชื่อมโยงกับภาคการผลิต พร้อมกับสร้างดีมานด์ (ความต้องการ) ใหม่ๆ รวมถึงสามารถจะเชื่อมโยงตลาดในจีน ที่นับจากนี้เชื่อว่คนจีนก็จะมี ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ทั้ง อยากให้ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ใช้ประโยชน์จากคำว่า จิ๊วแต่แจ๋ว ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

         ขณะที่ นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย กล่าวเสริมว่าแน่นอนแรงเอสเอ็มอีเวลานี้เจอแรงกระแทกรุนแรงไม่ต่างจากสงครามไทยกับกัมพูชาที่โดนนระเบิดนระเนระนาดไปตาม ๆ กัน ซึ่งแรงกระแทกนี้ไม่เฉพาะสินค้าที่ส่งไปขายสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังสินค้าจีนที่ส่งออกไม่ได้ก็ทะลักเข้ามาในประเทศไทย และมีราคาถูกมาก ๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มอีไทยโดยตรง นอกจากนี้ยังมีผลกระทบมาจกาผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง ทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์เอสเอ็อีลดลงด้วย

           ถุงมือยางเราเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ไปสหรัฐฯนอกเหนือจากนั้นผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารสินค้าเกษตรแปรรูป    ตัวที่สนองเป็นผลกระทบทางอ้อมก็จะมีสินค้าส่งไปอเมริกาแล้วส่งไม่ได้บ้าง ขาดทุนบ้างสินค้าพวกนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ซึ่งแน่นอนก็จะมีราคาถูกมาก ๆ โดยเฉพาะยอ่างยิ่งเอสเอ็มอีที่เป็นผู้ผลิตสินค้าเหล่านี้จะมีผลกระทบเยอะนายสุวิทย์กล่าว

             นายกสมาคมการค้าปลีกฯยังกล่าวถึงแนวทาการช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีว่า เราจะต้องร่วมมือทั้งภาครัฐภาคเอกชนและสมาคมในเครือข่าวจะต้องเข้ามาช่วยเหลือให้คำแนะนำเอสเอ็มอีทำอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอดได้ ซึ่งข้อแนะนำในวันนี้เอสเอ็มอีอยู่เฉย ๆไม่ได้แล้ว จะต้องเพิ่มมาร์เก็ตเพลส มองเรื่องตลาดให้ทะลุ  

            เมื่อก่อนเป็นโรงงานหรือทำอยู่กับบ้านแล้วก็มีคนมาซื้อ สมัยนี้นั่งอยู่ที่บ้านหรือโรงงานเฉย ๆ ไม่ได้แล้วเราต้องออกไปหาลูกค้าข้างนอก มีการเพิ่มช่องทางการขายใหม่ ๆ ผมคิดว่าเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ขายออนไลน์อยู่แล้ว ต่อไปต้องขายผ่านร้านที่หลากหลายมากขึ้น  ทั้งร้านประจำ คอนวีเนียนสโตล์  และการใช้อินฟลูเอ็นเซอร์แนะนำร้านก็เป็นกลยุทธ์การขายที่สำคัญนายสุวิทย์ให้มุมมอง พร้อมยกตัวอย่างร้านป้าแดงขายส้มตำหมูย่าง ที่ตลาดสามย่าน หลังมีอินฟลูเอนเซอรายหนึ่งมาแนะนำ ทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้น จนในที่สุดต้องขยายเพิ่มอีกหลายสาขา

            ด้าน นายอนุพงษ์ แสงอรุณทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดกา  SME D Bank  กล่าวว่า SME D Bank ได้รับโจทย์ใหญ่จากรัฐบาลเพื่อให้เข้ามาดูแลผู้ประกอบการ SMEs ไทย ทั้งนี้ ภารกิจของธนาคารฯ นอกจากการช่วยเหลือทางด้านการเงิน (ไฟแนนเชียล) ทั้งทางด้าน การให้สินเชื่อ การรับฝาก และทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับภาคเอกชน เพื่อเตรียมการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ธนาคารฯยังมีบทบาทที่สำคัญ นั่นคือ ภารกิจที่เกี่ยวกับ นอนไฟแนนเชียล ซึ่งหากพิจารณาจาก ชื่อเต็มของธนาคารฯ (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) จะมีคำว่า พัฒนา นั่นก็หมายถึง การให้การส่งเสริมเพื่อการพัฒนาแก่ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาในรูปแบบของการทำ e-Learning (การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์/ออนไลน์) หรือการ Skill Up (ยกระดับทักษะ) รวมไปถึงการทำ Business Matching (จับคู่ธุรกิจ) เป็นต้น

            สำหรับ ภารกิจหลัก ของธนาคารฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ด้านการเงิน ซึ่งสัมพันธ์กับการดำเนินงานของ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย โดยตรง โดยเฉพาะด้านสินเชื่อ ได้จัดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ สินเชื่อที่ธนาคารฯดำเนินการเอง อีกภารกิจเป็น สินเชื่อที่มาจากนโยบายของรัฐบาล (สินเชื่อพิเศษจากภาครัฐเพื่อเอสเอ็มอีไทย) ซึ่งได้ รัฐบาลได้ตั้งวงเงินให้กับธนาคารฯสูงถึง 30,000 ล้านบาท เพื่อมาช่วย ผู้ประกอบการ SMEs ไทย สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการสนับสนุน อุตสาหกรรมเป้าหมาย ของประเทศ โดย สินเชื่อจากนโยบายของรัฐบาล มี จุดเด่น คือ คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน แบ่งเป็น สินเชื่อ 3 โครงการ ประกอบด้วย...

            1.สินเชื่อ SME Green Productivity สำหรับสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการติดตั้งระบบอุปกรณ์ ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์ เพื่อใช้พลังงานสะอาด และมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว เช่น ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ในอุตสาหกรรมผลิตหรือบริการสีเขียว โรงงาน ร้านอาหาร โรงแรม เพื่อช่วยลดต้นทุนพลังงานในระยะยาว หรือมีกระบวนการผลิตหรือเทคโนโลยีเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท

            2.สินเชื่อ "ปลุกพลัง SME"  สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท นำไปใช้ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ รวมถึง หมุนเวียน และเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ เช่น ร้านโชห่วย/ขายปลีก ร้านอาหาร ธุรกิจดิจิทัล/อิเล็กทรอนิกส์ ร้านขายยา และแฟรนไชส์รายย่อย เป็นต้น วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 1.5 ล้านบาท 

            และ 3.สินเชื่อ "Beyond ติดปีก SME" สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป นำไปเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ ปรับเปลี่ยนทรัพย์สินหรือเครื่องจักร เพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ เช่น เกษตรแปรรูป อาหารเพื่อสุขภาพ โรงแรมที่พัก/ร้านอาหารขนาดใหญ่ ธุรกิจนำเข้าติดตั้งเครื่องจักร ธุรกิจบริการดิจิทัล/อิเล็กทรอนิกส์ แฟรนไชส์ เป็นต้น วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท

            ขอแนะนำให้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน SME ONE ID เพื่อยื่นความประสงค์เข้าถึงแหล่งทุนผ่าน Application SME CONNEXT ก็ให้รีบลงทะเบียนโดยเร็วเพื่อประโยชน์ และสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนที่มีเงื่อนไขที่ดีมากๆ โดยปัจจุบัน พบว่า มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ได้ทำการดาวน์โหลด SME CONNEXT ไปแล้วกว่า 30,000 ราย นายอนุพงษ์ ย้ำ

            ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย สามารถแจ้งความประสงค์รับบริการได้ ณ สาขา SME D Bank ทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th เป็นต้น หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357



            ส่วน ภญ.โสภา พิมพ์สิริพานิชย์ หรือ โซอี้ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Generative AI กล่าวถึงการทำธุรกิจด้วย AI เพื่อความยั่งยืน ว่า สำหรับเอสเอ็มอียุคใหม่การนำเอไอ(AI)มาปรับใช้ในธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเอสเอ็มอีจะต้องปรับตัวในยุคเอไอวันนี้ในทันกับสถานการณ์ ถ้าราไม่ปรับตัวโลกจะเป็นคนเปลี่ยนเราแทน เพราะโลกแห่งอนาคตจะถูกแบ่งเป็นสองชนชั้น  ไม่ใช่เรื่องความรวยกับความจน แต่จะเป็นเรื่องกลุ่มคนที่ทันเทคโนโลยีกับไม่ทัน 

           วันนี้อยากให้เอสเอ็มอีไทยเรียนรู้การใช้เอไอจะได้ไม่เป็นคนที่ตกยุค โซอี้มองว่าทุกวันนี้เอสเอ็มอีไทยได้ใช้เอไอ 30-40 เปอร์เซนต์เท่านั้น ซึ่งน้อยมาก ๆ อยากให้ทุกคนหันมาใช้เอไอกัน  เริ่มใช้แชตบอดชั้นต้นก่อนก็ได้ใช้แชตซีพีทีก่อน ลองใช้ดูพวกนี้เป็นพรีเมี่ยมอยู่แล้วเราใช้ฟรีได้สบาสย ถ้าเราอยากใช้เวอร์ชั่นขั้นสูงแล้วค่อยมาเสียตังเพิ่มโซอี้ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Generative AI กล่าวย้ำ



              อย่างไรก็ตามก่อนพิธีเปิดการเสวนา นายจรัญ ชุ่มเงิน นายกสมาคมผู้สื่อข่าวส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ได้ขอให้ผู้ร่วมและรับฟังงานเสวนาได้ยืนไว้อาลัย เพื่อแสดงเคารพแด่ ดวงวิญญาณ ของทหารหาญ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์การปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาเป็นเวลา 1 นาที จากนั้น จึงได้กล่าวรายงานตอนหนึ่งว่า เราตระหนักดีว่า สงครามการค้าและกระแสการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก กำลังกระทบต่อทุกภาคส่วนของธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศ การจัดงานในวันนี้จึงเป็นเวทีเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และต่อยอดองค์ความรู้จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อ พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล 

            นายจรัญ ย้ำว่า สมาคมผู้สื่อข่าวส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ก่อตั้งขึ้นด้วยเจตนารมณ์ที่จะรวมพลังของสื่อมวลชนหลากหลายแขนง เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ทะเบียนสมาคมเลขที่ จ.6250/2567 เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยสามารถเข้าถึงข้อมูล โอกาส และการสนับสนุนในด้านต่างๆ อย่างรอบด้านและต่อเนื่อง ซึ่งเวทีในวันนี้ นับเป็นก้าวหนึ่งที่คณะกรรมการ และผู้สื่อข่าวสมาชิกสามัญทุกสายโต๊ะข่าวของสมาคมผู้สื่อข่าวส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยมีความภาคภูมิใจ และตั้งใจจะขยายผลกิจกรรมในรูปแบบอื่นๆ อย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อให้การส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยเกิดผลอย่างยั่งยืนในทุกมิติ


บทความที่เกี่ยวข้อง
เลย์ ฉลองความสำเร็จแคมเปญ เรื่องรสยกให้เลย์ หลังดันยอดขายทะลุเป้า  ย้ำภาพตัวจริงเรื่องรสชาติถูกปากคนไทยด้วยแคมเปญ รสที่คิดถึง  พร้อมปลุกตำนานรสเห็ดทรัฟเฟิลคืนตลาด
เลย์ มันฝรั่งแท้ทอดกรอบ โดย บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด หรือ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เผยความสำเร็จของแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ Lays Master of Flavor เรื่องรสยกให้เลย์ ที่จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568
31 ก.ค. 2025
สมาคมประกันชีวิตไทยเผยภาพรวมครึ่งปีแรก 2568 แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง  พร้อมเร่งปรับตัวรับมือปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน
นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เผยภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ระหว่าง มกราคม มิถุนายน มีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ 326,588 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.87
31 ก.ค. 2025
Brother ส่งโซลูชันเครื่องพิมพ์ฉลาก TD-2300 Series เจาะตลาดค้าปลีก-ร้านอาหาร-สถานพยาบาล ชูฟังก์ชันตอบโจทย์ภาคธุรกิจ ลดต้นทุน รวดเร็ว แม่นยำ  เพิ่มประสิทธิภาพงานพิมพ์ในองค์กร
Brother ผู้นำโซลูชันด้านการพิมพ์จากประเทศญี่ปุ่น เปิดตัว เครื่องพิมพ์ฉลากรุ่นใหม่ล่าสุด TD-2300 Series ภายใต้แนวคิด At Your Side ที่มุ่งเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับความต้องการของผู้ใช้งานยุคใหม่ พร้อมวางจำหน่าย 4  รุ่น
31 ก.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy