แชร์

ttb analytics ชวนสำรวจวินัยทางการเงินจากฐานข้อมูลเครดิตบูโร (NCB) ชี้ พฤติกรรมการก่อหนี้ สัญญาณเตือนความเสี่ยงหนี้เสียที่ไม่ควรมองข้าม แนะลูกหนี้ใช้สินเชื่ออย่างรอบคอบและระมัดระวัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

อัพเดทล่าสุด: 21 ส.ค. 2025
204 ผู้เข้าชม

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยกลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งสะท้อนผ่านการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตได้ค่อนข้างช้าสวนทางกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว อีกทั้งพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลมีส่วนสำคัญในการเร่งการก่อหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ทำให้หลายคนตกอยู่ในวงจรหนี้โดยไม่ทันตั้งตัว และเมื่อขาดความรู้ทางการเงินที่เพียงพอ การจัดการหนี้จึงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับครัวเรือนและนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ในที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคุณภาพเครดิตสินเชื่อรายย่อยของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 โดยยอดคงค้างสินเชื่อที่ค้างชำระหนี้ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป หรือ Stage 3 สูงถึงเกือบ 1.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.35% ของสินเชื่อรายย่อยทั้งหมด ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อที่เริ่มผิดนัดชำระหนี้ 1-3 เดือนยังค่อนข้างสูงถึงกว่า 4 แสนล้านบาท หรือ 7.62% ของสินเชื่อรายย่อยทั้งหมด ด้านการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อยก็เป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยยังคงหดตัวถึง 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นการหดตัวติดต่อกัน 4 ไตรมาส  

ฉะนั้นเพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนและพฤติกรรมการก่อหนี้ของลูกหนี้มากขึ้น ttb analytics จึงใช้ข้อมูลบัญชีลูกหนี้ที่ไม่สามารถระบุตัวตน (Anonymous Account) ซึ่งได้จากการเก็บรวบรวมโดยบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) เพื่อวิเคราะห์ลำดับการเป็นหนี้เสียของผลิตภัณฑ์ (Product Default Sequential Analysis) โดยเลือกใช้ข้อมูลบัญชีสินเชื่อรายย่อยของลูกหนี้ที่ถือมากกว่า 1 บัญชีระหว่างไตรมาสที่ 1 ของปี 2559 จนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 และจะต้องมีการก่อหนี้ใหม่ (New Booking) ในช่วงระหว่างไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 จนถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ซึ่งมีจำนวนลูกหนี้ที่มีบัญชีสินเชื่อรายย่อยในกลุ่มนี้ทั้งสิ้น 1.6 ล้านราย แบ่งออกเป็นลูกหนี้ที่มีบัญชีสินเชื่อ 2 บัญชี 5.9 แสนราย ลูกหนี้ที่มีบัญชีสินเชื่อ 3-4 บัญชีทั้งหมด 6.4 แสนราย และลูกหนี้ที่มีบัญชีสินเชื่อมากกว่า 4 บัญชีอีกราว 3.7 แสนราย

จากข้อมูลดังกล่าว ttb analytics ได้ประเมินพฤติกรรมของลูกหนี้ที่มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้ในเบื้องต้นตามการถือและลำดับการถือผลิตภัณฑ์สินเชื่อ โดยจำแนกตามกลุ่มความเสี่ยงตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีหลักประกันหรือมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ค่อนข้างต่ำ ได้แก่ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อบัตรเครดิต และ 2) ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันหรือมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ค่อนข้างสูง ได้แก่ สินเชื่อมอเตอร์ไซค์ สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อเช่าซื้ออื่น ๆ (เช่น สินเชื่อเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้า) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้

กลุ่มแรก คือ กลุ่มลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ (Low-risk Likelihood) เป็นลูกหนี้ที่ถือผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำทั้งหมด ซึ่งลูกหนี้กลุ่มนี้มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะผู้ที่ถือสินเชื่อบ้านร่วมกับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์หรือบัตรเครดิต ซึ่งมีอัตราการผิดนัดชำระหนี้มากกว่า 90 วัน (DPD>90) เพียง 0.35.4% ของลูกหนี้ที่ถือผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ทั้งหมด แม้ในกรณีที่ลูกหนี้ถือบัตรเครดิตหลายใบ (สูงสุดถึง 7 ใบ) ก็ยังพบว่ามีสัดส่วนบัญชีที่ผิดนัดชำระหนี้เพียง 0.2% อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังเกี่ยวกับความเสี่ยงจากพฤติกรรมการชำระขั้นต่ำของกลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตที่อาจสะสมเป็นปัญหาในระยะยาว

ถัดมา คือ กลุ่มลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงปานกลาง (Moderate-risk Likelihood) เป็นกลุ่มที่ถือผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงผสมผสานกับการถือผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยจากการศึกษาพบว่า 15.5% ของลูกหนี้ที่มีสินเชื่อบัตรเครดิตร่วมกับสินเชื่อส่วนบุคคลผิดนัดชำระหนี้ภายในระยะเวลา 1 ปี นับจากช่วงเวลาที่ก่อหนี้ใหม่ล่าสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลูกหนี้มีประวัติผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ก่อนแล้ว ก็มักจะผิดนัดชำระหนี้ในผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่นตามมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ยิ่งกว่านั้น ในกรณีที่ลูกหนี้อยู่ระหว่างใช้สินเชื่อในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง และมีความประสงค์ขอสินเชื่อใหม่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ ลูกหนี้จะมีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า

สุดท้าย คือ กลุ่มลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง (High-risk Likelihood) โดยลูกหนี้ที่ถือสินเชื่อในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงมีสัดส่วนลูกหนี้ค้างชำระเกิน 90 วันในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์เฉลี่ยสูงถึง 2.2-26.3% ยกตัวอย่างเช่น ลูกหนี้ที่มีสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ไปพร้อม ๆ กับสินเชื่อส่วนบุคคลหรือสินเชื่อเช่าซื้ออื่น ๆ อีกมากกว่า 1 บัญชี มีสัดส่วนการผิดนัดชำระหนี้เฉลี่ย 25% ของจำนวนบัญชีเหล่านั้น โดยเฉพาะลูกหนี้ที่ถือสินเชื่อส่วนบุคคลตั้งแต่ 4 บัญชีขึ้นไป มีสัดส่วนการผิดนัดชำระหนี้สูงกว่า 30% ของจำนวนลูกหนี้ในกลุ่มนี้ทั้งหมด

จากการศึกษาข้างต้น ttb analytics ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ระดับการก่อหนี้ในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลมีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนหนี้เสียของลูกหนี้ในภาพรวมอย่างมีนัย โดยพิจารณาพฤติกรรมการก่อหนี้ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่  

1) ลำดับการก่อหนี้ โดยกลุ่มที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน (First-jobber) ที่เริ่มต้นก่อหนี้จากการใช้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลเป็นอันดับแรก ๆ มักมีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระหนี้มากกว่าเมื่อเทียบกับลูกหนี้ที่ถือสินเชื่อประเภทอื่นเป็นอันดับแรก (Sequential Impact) นอกจากนี้ ยังพบว่าลูกหนี้ที่มีพฤติกรรมชำระค่างวดสินเชื่อส่วนบุคคลล่าช้ายังมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 4 เท่า และความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในระยะเวลา 2 - 3 เดือน

2) จำนวนผลิตภัณฑ์ที่ถือ ลูกหนี้ที่มีสินเชื่อส่วนบุคคล 2 บัญชีขึ้นไปมีความเชื่อมโยงกับคุณภาพเครดิตของลูกหนี้ที่ย่ำแย่ลง โดยลูกหนี้ที่ถือสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นผลิตภัณฑ์แรกมักมีแนวโน้มก่อสินเชื่อใหม่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลเช่นเดิมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผิดนัดชำระหนี้สูงถึง 15.2% อีกทั้งลูกหนี้จะผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 17.3% เมื่อถือสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มเป็น 3 บัญชี

3) แหล่งที่มาของผู้ให้กู้ โดยพบว่าลูกหนี้ที่มีสินเชื่อส่วนบุคคล 2 บัญชีผสมผสานกันระหว่างผู้ให้กู้ที่มาจากทั้งธนาคารพาณิชย์ (Bank) และกลุ่มนอนแบงก์ (Non-bank) มักมีประวัติการผิดนัดชำระหนี้สูง โดยลูกหนี้ที่มีสินเชื่อส่วนบุคคล 2 บัญชีที่มาจาก Non-bank ก่อน ตามด้วยการก่อหนี้จาก Bank มีสัดส่วนบัญชีที่ผิดนัดชำระหนี้กว่า 20.1% และหากลูกหนี้ที่เริ่มถือสินเชื่อส่วนบุคคลจาก Bank ก่อน และตามด้วย Non-bank เป็นลำดับถัดมา มีสัดส่วนบัญชีที่ผิดนัดชำระหนี้สูงถึง 23.9% ของลูกหนี้ที่มีสินเชื่อส่วนบุคคล 2 บัญชีทั้งหมด

สรุปแล้ว จากการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การเริ่มต้นก่อหนี้อย่างไม่รอบคอบ การถือสินเชื่อหลายบัญชี และการพึ่งพาเงินกู้จากหลากหลายแหล่งที่มา ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ในอนาคต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางการเงินของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มต้นก่อหนี้จากสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีแนวโน้มจะวนเวียนอยู่ในวงจรหนี้ และมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ในผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น ๆ ตามมาอย่างไม่รู้จบ สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) อย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนสร้างความตระหนักรู้ในการวางแผนการเงินและบริหารหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกัน ยังเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินพัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์ความเสี่ยงและการให้คะแนนเครดิต (Credit Scoring) ที่มีความแม่นยำมากขึ้น โดยอิงจากข้อมูลพฤติกรรมและลำดับการก่อหนี้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถคัดกรองลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงได้ตั้งแต่ต้นทาง และลดโอกาสเกิดหนี้เสียในระบบเศรษฐกิจได้อีกด้วย


บทความที่เกี่ยวข้อง
กสิกรไทยได้รับผลประเมิน MSCI ESG Rating ระดับสูงสุด AAA ตอกย้ำการเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน
นายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปี 2568 ธนาคารได้รับผลการประเมินจากหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือในด้านดัชนี ESG ในระดับโลก โดยได้ MSCI ESG Rating ในระดับ AAA
11 พ.ย. 2025
OCEAN LIFE ไทยสมุทร จัดงาน “OCEAN LIFE LOVE FOREVER ให้รักแทนคำขอบคุณ” เชิดชูผู้บริหารและพนักงานที่จะเกษียณอายุในปี 2025
บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต รักคือพลังของชีวิต โดยคุณนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ (CEO)
10 พ.ย. 2025
พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ฉลองครบรอบ 30 ปี จัดคาราวานตรวจสุขภาพฟรี “Healthy U by Prudential” ส่งเสริมคนไทยใส่ใจสุขภาพ
บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ด้านสุขภาพ “Peace-of-mind Plan
10 พ.ย. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy