แชร์

วิจัยกรุงศรีชี้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังแผ่วลง เหลือ 1.3% จากที่ขยายตัว 3.0% ในครึ่งแรก สำหรับทั้งปี 2568 ยังคงคาดการณ์การเติบโตที่ 2.1% แม้สถานการณ์การเมืองยังไม่แน่นอน

อัพเดทล่าสุด: 5 ก.ย. 2025
71 ผู้เข้าชม

เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2568 มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันจากหลายทาง ทั้งปัจจัยภายนอกจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สู่อัตรา 19% ส่งผลให้ภาคการส่งออกสินค้าของไทยที่เคยเป็นแรงส่งหลักในช่วงครึ่งปีแรกมีแนวโน้มหดตัว ส่วนปัจจัยภายในประเทศมีความซับซ้อนและเปราะบางมากขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน วิจัยกรุงศรีจึงประเมินว่า หากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจยังมีความต่อเนื่อง คาดว่าทั้งปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะยังเติบโตได้ตามคาดการณ์เดิมที่ 2.1% โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวเพียง 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งชะลอลงจาก 3.0% ในช่วงครึ่งแรก โดยมีรายละเอียดของปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนี้

(i) ภาคส่งออกสูญเสียแรงขับเคลื่อน การส่งออกที่เติบโตสูงในช่วงครึ่งแรกของปี (+15.0% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน) ส่วนใหญ่มาจากการเร่งสะสมสินค้าล่วงหน้า (Front-loaded exports) ก่อนที่สหรัฐฯ จะขึ้นอัตราภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปีคาดว่าแรงส่งดังกล่าวจะลดลงอย่างรุนแรง จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อสินค้าไทย ซึ่งเพิ่มจากอัตรา 10% ในเดือนเมษายนเป็นอัตรา 19% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลงจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและกิจกรรมในภาคการผลิตทั่วโลก จึงคาดว่าการส่งออกของไทยทั้งปี 2568 จะขยายตัวเพียง 3.5%

(ii) การลงทุนภาคเอกชนเผชิญความท้าทายที่เพิ่มขึ้น แม้การลงทุนภาคเอกชนในไตรมาส 2 จะกลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส (+4.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่ต่ำในปี 2567 และการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม แรงส่งดังกล่าวอาจขาดความต่อเนื่อง โดยทั้งปีคาดว่าการลงทุนภาคเอกชนจะเติบโตในระดับต่ำที่ 0.9% แม้ยังพอมีปัจจัยบวกอยู่บ้างจากการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กของภาครัฐวงเงิน 8.5 หมื่นล้านบาท แต่การลงทุนภาคเอกชนยังมีความเปราะบางอยู่มาก ท่ามกลางปัจจัยลบจากความกังวลเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ล่าช้ากว่าคาด และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

(iii) ภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มหดตัวเป็นปีแรกหลังฟื้นตัวจากโควิด ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 21.9 ล้านคน ลดลง -7.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักมา

จากการลดลงอย่างมากของนักท่องเที่ยวจีน (ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการฟื้นตัวเพียง 40% เมื่อเทียบกับระดับก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19) เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในภูมิภาค วิจัยกรุงศรีจึงคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 จะลดลงเหลือ 34 ล้านคน จาก 35.5 ล้านคนในปี 2567 ซึ่งเป็นการลดลงรายปีครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2564

(iv) การบริโภคภาคเอกชนถูกกดดันโดยหลายปัจจัย แม้การบริโภคจะได้แรงหนุนจากนโยบายบางส่วนของภาครัฐ อาทิ มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ผลเชิงบวกอาจมีจำกัดเนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างและปัจจัยฉุดรั้งต่างๆ ทั้งผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อการจ้างงานและรายได้ครัวเรือน รายได้เกษตรกรที่ลดลงเนื่องจากราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ซบเซา ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ การบริโภคในช่วงที่เหลือของปีจึงมีแนวโน้มเติบโตต่ำ

ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1-2 ครั้ง ภายในไตรมาสแรกของปี 2569 จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.50% ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและบรรเทาภาวะทางการเงินที่ตึงตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปี 2568 มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.2% ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ 1-3% ซึ่งนับเป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยเปิดทางให้ กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้

ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ และผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในภาพรวม เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยงและความผันผวนสูง จากทั้งปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และผลพวงจากข้อตกลงการค้าไทย-สหรัฐฯ โดยเฉพาะประเด็นภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment Tariff) และการเสนออัตราภาษี 0% ให้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งสร้างความเสี่ยงภาวะ Twin Influx หรือการไหลทะลักของสินค้าสหรัฐฯ ที่จะซ้ำเติมการไหลทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ไทย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ปัจจุบันเสถียรภาพทางการเมืองยังคงเปราะบาง โดยในกรณีฐานคาดว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีจะอยู่ในวงจำกัด ส่วนในกรณีเลวร้าย หากพัฒนาการทางการเมืองมีผลกระทบต่อความต่อเนื่องและประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงการเจรจาทางการค้ากับประเทศสำคัญ เศรษฐกิจไทยอาจสูญเสียแรงส่งการฟื้นตัวและเผชิญความเสี่ยงที่จะขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ในกรณีฐานได้

 


บทความที่เกี่ยวข้อง
หนึ่งเดียวของธุรกิจประกันภัย “ฟอลคอนประกันภัย” คว้ารางวัล “CSR Award 2025” จาก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน) สร้างความภาคภูมิใจอีกครั้ง ด้วยการเป็นหนึ่งเดียวของธุรกิจประกันภัย ที่ได้รับรางวัล องค์กรที่มีผลงานการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจดีเด่นในเขตกรุงเทพมหานคร ประจำปี 2568
12 ก.ย. 2025
ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เยี่ยมชมไร่สุขพ่วง และให้กำลังใจพนักงาน ธ.ก.ส. จ.ราชบุรี
วันนี้ (12 กันยายน 2568) นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ลงพื้นที่เยี่ยมชมงานเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ศูนย์เรียนรู้เกษตรกรรมยั่งยืน ไร่สุขพ่วง ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัด ราชบุรี
12 ก.ย. 2025
บอร์ดดุสิตธานีแต่งตั้ง ชนินทธ์ โทณวณิก ควบกรุ๊ปซีอีโอ  หลัง ศุภจี สุธรรมพันธุ์ตอบรับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
กรุงเทพฯ 12 กันยายน 2568 : คณะกรรมการดุสิตธานี มีมติแต่งตั้ง ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ)
12 ก.ย. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy