แชร์

SCB WEALTH จับจังหวะดอลลาร์อ่อน เปิดขาย SCBUSDABSAP วันที่ 7-15 ต.ค.นี้ เน้นลงทุนในหุ้นเอเชียแปซิฟิกด้วยสกุลUSDมุ่งสร้างผลตอบแทนทุกสภาวะตลาด

อัพเดทล่าสุด: 6 ต.ค. 2025
121 ผู้เข้าชม

SCB WEALTH ร่วมกับ BlackRock คัดสรรผลิตภัณฑ์ลงทุนให้ตอบโจทย์นักลงทุนในจังหวะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า พร้อมเสิร์ฟกองทุนSCBUSDABSAP เสนอขายครั้งแรกในวันที่ 7- 15 ตุลาคม  2568 เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BlackRock Systematic Asia Pacific Equity Absolute Return Fundมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนผ่านการเติบโตของเงินลงทุนในทุกสภาวะตลาด โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนและจัดตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กองทุนหลักลงทุนอย่างเป็นระบบผสานความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนเข้ากับเทคโนโลยี AI เพื่อคัดเลือกหุ้นคุณภาพจากกว่า 4,500 บริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น พร้อมควบคุมความผันผวนให้อยู่ในกรอบ 68% ต่อปี เพื่อประคองความเสี่ยงให้เหมาะสม ตอกย้ำประสิทธิภาพด้วยผลงานของกองทุนหลัก นับตั้งแต่จัดตั้งจนถึงสิ้นเดือน ส.ค. 2568 ที่สร้างผลตอบแทนเป็นบวกถึง 70 เดือนจาก 102เดือน เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี MSCI AC Asia Pacific สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม โดย เงินลงทุนขั้นต่ำ SCBUSDABSAP อยู่ที่  30 USD มองภาวะเงินบาทแข็งค่าถือเป็นโอกาสสำคัญของนักลงทุนไทยที่มีแผนใช้เงินดอลลาร์ฯในระยะยาว และ ไม่ต้องเสียต้นทุนค่า Hedging

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product  กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า  ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งอาจเปิดทางให้ธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียปรับลดดอกเบี้ยตาม ส่งผลให้ต้นทุนการลงทุนลดลง และกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ยังเป็นอีกแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียมากขึ้น ขณะที่ระดับ Valuation ของตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว

ในส่วนของแนวโน้มค่าเงินบาท จากข้อมูลของ SCB EIC ค่าเงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นแล้วกว่า 8% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี และแข็งค่านำคู่แข่งในภูมิภาค โดยคาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่ง SCB CIO มองว่า ภาวะเงินบาทแข็งค่าถือเป็น โอกาสสำคัญ สำหรับนักลงทุนไทยที่มีแผนใช้เงินดอลลาร์ฯ ในระยะยาว หรือมองหาการลงทุนต่อเนื่องในต่างประเทศ การลงทุนโดยตรงในสกุลเงินดอลลาร์ฯ นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายแล้ว ยังมีข้อได้เปรียบด้านผลตอบแทนเมื่อเทียบกับการลงทุนในสกุลเงินบาท เพราะไม่ต้องเสียต้นทุนค่า Hedging อีกทั้งยังสามารถใช้แนวคิดการสร้าง USD Wallet เป็นการลงทุนต่อเนื่องระยะยาวด้วยสกุลเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งช่วยลดความผันผวนจากค่าเงินและโอกาสสร้างความมั่นคงในการลงทุนได้มากขึ้น

โอกาสนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน เตรียมเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Asia Pacific Equity Absolute Return USD  (SCBUSDABSAP) ครั้งแรก ( IPO) ระหว่างวันที่  7- 15 ตุลาคม  2568 ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง เป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้ลงทุนด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ( USD ) ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำที่  30 USD

กองทุนนี้จัดตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ เพียงกองทุนเดียว ได้แก่ BlackRock Systematic Asia Pacific Equity Absolute Return Fund   ชนิดหน่วยลงทุน  D2 U.S. Dollar (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ  บริหารโดย BlackRock (Luxembourg) S.A. ซึ่งกองทุนหลักเน้นการบริหารเชิงรุก (Active management) มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกให้แก่ผู้ลงทุนผ่านการเติบโตของเงินลงทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนในทุกสภาวะตลาด โดยคำนึงถึงหลักการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม  สังคม และธรรมาภิบาล ( ESG) ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์โดยตรง ( long exposure)  และการทำธุรกรรม Synthetic long และSynthetic short   ในบริษัทที่จัดตั้งหรือจดทะเบียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า  (Derivatives)  เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน  

สำหรับกลยุทธ์การบริหารกองทุน  มีจุดเด่นดังนี้ 1) กองทุนหลักใช้ตราสารอนุพันธ์ทั้งLong  และ Short position ในหุ้นขนาดใหญ่ และเล็กของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย และญี่ปุ่น เพื่อลดความเสี่ยงด้านทิศทางตลาด  2) จำกัดความผันผวนของพอร์ตที่ 6-8% โดยเฉลี่ยต่อปี 3) มุ่งสร้างผลตอบแทนเป็นบวกในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ(USD)ผ่านกลยุทธ์การลงทุนแบบ Market Neutral ที่อาจไม่เคลื่อนไหวตามสภาวะตลาด พร้อมสอดคล้องกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน   4) การบริหารเชิงรุก ซึ่งใช้แบบจำลองเชิงปริมาณ (quantitative models) เพื่อคัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบ โดยผู้เชี่ยวชาญผสมกับเทคโนโลยี AI ในการเข้าถึงข้อมูลท้องถิ่นของแต่ละประเทศ และ 5) กองทุนหลักได้รับ Morningstar rating 5 ดาวจากกลุ่ม EAA Fund Equity Market Neutral USD  (ข้อมูล ณ สิงหาคม 2568)

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนหลัก มีกระบวนการลงทุนอย่างเป็นระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เข้าถึงข้อมูลหุ้นบริษัทกว่า 4,500 บริษัท ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ทุกวันเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยผสมผสานการคาดการณ์ผลตอบแทน ความเสี่ยง และต้นทุน

ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น ต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งภาษา ข้อมูล และโครงสร้างตลาดที่แตกต่างกัน ความสามารถในการเข้าถึงและตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้อง จึงเป็น กุญแจสำคัญ ในการสร้างผลตอบแทนที่แตกต่าง

สำหรับกระบวนการลงทุน มีการนำจุดแข็งด้านเทคโนโลยี AI มาผสมผสานทั้งข้อมูลดั้งเดิมและข้อมูลทางเลือก เพื่อสกัด ข้อมูลเชิงลึก ที่สะท้อนปัจจัยขับเคลื่อนผลตอบแทนของแต่ละตลาดในอนาคต ขณะเดียวกันยังคงยึดมั่นในกรอบการลงทุนอย่างยั่งยืนตามมาตรฐาน SFDR Article 8 ซึ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

นอกจากนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนยังทำหน้าที่ตรวจสอบและปรับปรุงให้ Model AI มีความแม่นยำและทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ส่งผลให้นักลงทุนสามารถเข้าถึง โอกาสที่ซ่อนอยู่ ในภูมิภาคที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างมั่นใจ

  ทั้งนี้ จากข้อมูลนับตั้งแต่กองทุนหลักจัดตั้ง วันที่ 22 ก.พ. 2560 จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 2568 กองทุนหลักแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ มั่นคงและต่อเนื่อง โดยสามารถทำผลตอบแทนรายเดือนเป็นบวกได้ถึง 70 เดือน จากทั้งหมด 102 เดือน เหนือกว่าดัชนีอ้างอิง MSCI AC Asia Pacific ซึ่งทำได้เพียง 61 เดือนจาก 102 เดือน อีกทั้งยังสร้าง ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงกว่าดัชนี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารที่โดดเด่นและเสถียรกว่าเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม


บทความที่เกี่ยวข้อง
“MEDEZE” โชว์ศักยภาพผลประกอบการไตรมาส 3/2568 กำไรสุทธิ 160 ล้านบาท เดินหน้าสู่ “Thailand’s First ATMPs” ปักธงผู้นำธุรกิจการแพทย์แห่งภูมิภาค
นางสาวอัญชิสา เหล็กเพ็ชร (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่สายบัญชีและการเงิน นายแพทย์วสวัตติ์ สร้อยทอง (ซ้าย) นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE
15 พ.ย. 2025
PSGC เดินหน้าธุรกิจเหมืองและทรัพยากร พร้อมลงทุนในบริษัทเวียดนาม กำไรสุทธิไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 888% จากไตรมาสก่อน
บริษัท พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PSGC (ชื่อย่อหลักทรัพย์ PSG) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 187.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 887.9%
15 พ.ย. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy