“ฮุนได มอเตอร์” ติดโผ “World’s Best Companies 2025” โดยนิตยสาร TIME ตอกย้ำผู้นำนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต เผยทิศทางปี 69 ลุยต่อครบไลน์ “อีวี-ไฮบริด-ไฮโดรเจน” ชวนจับตาทิศทางรถไฮโดรเจนทั่วโลกปีหน้า

- ฮุนได มอเตอร์ ตอกย้ำสถานะผู้นำเทคโนโลยียานยนต์โลก ด้วยการติดอันดับ World’s Best Companies 2025 ของ TIME และ Top 30 Interbrand Best Global Brands เติบโตต่อเนื่อง 16 ปี
- รถยนต์และเทคโนโลยีของฮุนไดได้รับการยอมรับในเวทีโลก ทั้งรางวัล World Electric Vehicle of the Year และมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด IIHS สะท้อนการพัฒนาที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง
- ฮุนไดเดินหน้ากลยุทธ์ EV, Hybrid และ Hydrogen ควบคู่กัน ผ่านรุ่นสำคัญอย่าง IONIQ 9 และ all-new NEXO เพื่อสร้างระบบการเดินทางแห่งอนาคตที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น
- ฮุนไดตอกย้ำแผนธุรกิจระยะยาวในไทย ด้วยการลงทุนตั้งโรงงานประกอบรถยนต์และแบตเตอรี่ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท รองรับการขยายรถไฟฟ้าและไฮบริดในอนาคต
- การลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทั้งระบบไฟฟ้า ซอฟต์แวร์ และพลังงานไฮโดรเจน เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่เสริมความแข็งแกร่งให้ฮุนไดในตลาดโลก
กรุงเทพฯ – ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกใบนี้ไปอย่างรวดเร็ว ฮุนได มอเตอร์ ยังคงเดินหน้าตอกย้ำสถานะผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก ด้วยการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้าน Mobility อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทติดโผ “World’s Best Companies 2025” โดยนิตยสาร TIME ในอันดับที่ 33 จาก 1,000 บริษัทในลิสต์ สะท้อนทั้งความแข็งแกร่งของผลประกอบการและศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีที่พลิกโฉมโลก โดยในปี 2568 ฮุนได
มีมูลค่าแบรนด์สูงถึง 24.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยับขึ้นสู่อันดับ 30 ของ Interbrand Best Global Brands Rankings ที่เติบโตต่อเนื่องยาวนาน 16 ปีตั้งแต่ปี 2010 และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 72% ภายใน 5 ปี พร้อมรักษาตำแหน่ง Top 30 แบรนด์ระดับโลกเป็นปีที่สองติดต่อกัน
ผลงานด้านนวัตกรรมยานยนต์ของฮุนได ก็ได้รับการการันตีจากเวทีระดับโลกอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า INSTER ที่คว้ารางวัล World Electric Vehicle of the Year จากเวที World Car Awards ต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ นอกจากนี้ รถยนต์ฮุนไดถึง 7 รุ่น ยังผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด IIHS TOP SAFETY PICK+ ในสหรัฐฯ สะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยกระดับมาตรฐานการเดินทาง โดยรถทุกรุ่นและทุกฟังก์ชันที่ออกแบบขึ้นมา ต้องตอบโจทย์การใช้งานจริงอย่างรอบด้าน
นอกจากความแข็งแกร่งด้าน EV ฮุนได ยังได้เดินหน้าวางกลยุทธ์ “หลายเทคโนโลยี–หลายทางเลือก” ด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอให้ครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า ไฮบริด และไฮโดรเจน โดยแบรนด์ได้เปิดตัว IONIQ 9 สุดยอด SUV พลังไฟฟ้าและ All-New NEXO รถเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนรุ่นใหม่ ควบคู่การผลักดันรถยนต์ไฮบริด ที่เป็นดั่งสะพานเชื่อมโลกสองใบที่พาผู้ขับขี่เปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจ สะท้อนวิสัยทัศน์ของแบรนด์ที่มองไกลไปสู่การสร้างระบบการเดินทางแห่งอนาคตที่รองรับผู้บริโภคทุกกลุ่ม
ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนายานยนต์ไฮไดรเจน ฮุนไดเดินหน้าขับเคลื่อนระบบพลังงานไฮโดรเจนผ่านแพลตฟอร์ม HTWO โดยร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงาน Hydrogen Council Global CEO Summit ณ กรุงโซล เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการจัดการประชุมระดับโลกในหัวข้อการใช้ยานยนต์พลังงานไฮโดรเจน 100% นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำว่าเทคโนโลยีไฮโดรเจนของฮุนไดกำลังก้าวจากแนวคิดสู่การใช้งานจริงในระดับอุตสาหกรรม
บรรยายภาพ: ฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ป ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านเทคโนโลยีไฮโดรเจนระดับโลก เดินหน้าสร้างความร่วมมือกับผู้นำ
อุตสาหกรรมพลังงานไฮโดรเจนจากทั่วโลก ในเวที Hydrogen Council Global CEO Summit เพื่อผลักดันการพัฒนาระบบ
นิเวศไฮโดรเจนอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การจัดเก็บ ไปจนถึงการนำไปใช้งานจริงในภาคยานยนต์และพลังงานสะอาด
สะท้อนวิสัยทัศน์ของฮุนไดในการขับเคลื่อนอนาคตของ Mobility ที่ยั่งยืนและปลอดคาร์บอนในระดับสากล
จากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตลาดยานยนต์ในเมืองไทยก็ไม่น้อยหน้า ฮุนได ยังคงเดินหน้านำเสนอยนตรกรรมระดับโลกที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้บริโภคชาวไทย ไม่ว่าจะเป็น Hyundai all-new SANTA FE Hybrid ที่ทั้งประหยัด ขับขี่สนุก และโดดเด่นด้วยสมรรถนะเหนือชั้นจากระบบ Parallel Hybrid เจเนอเรชันใหม่ นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้าของฮุนได ยังขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์ม E-GMP ซึ่งเป็นหัวใจของ IONIQ 5, IONIQ 6 และ IONIQ 5 N ที่ขึ้นชื่อเรื่องระบบชาร์จเร็ว 80 โวลต์ การขับขี่ที่ลื่นไหล และการออกแบบรถที่คำนึงถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน
เมื่อรวมเทคโนโลยี EV, ไฮบริด และไฮโดรเจน เข้าด้วยกัน จะเห็นว่าฮุนไดกำลังวางหมาก “หลายเทคโนโลยี-หลายทางเลือก” เพื่อรองรับโลกที่ไม่ได้เปลี่ยนพร้อมกันทุกประเทศ เป้าหมายของฮุนไดคือการสร้างระบบขับเคลื่อนที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ พร้อมขยายบทบาทของไฮโดรเจนจาก “พลังงานเพื่อรถยนต์” ไปสู่ “พลังงานเพื่อสังคม” ด้วยเป้าหมายในการนำไปใช้ในรถบรรทุกหนัก ขนส่งมวลชน ไปจนถึงเครื่องกำเนิดเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Generator) สำหรับเป็นพลังงานสำรองในพื้นที่อุตสาหกรรม หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องการความเสถียรสูง
การเอาจริงเรื่องรถพลังงานไฮโดรเจนของฮุนได ทำให้ตลาดทั่วโลก รวมถึงแฟนฮุนไดในเมืองไทยจับตาทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีของฮุนไดในปี 2569 โดยเฉพาะการเฝ้าดูว่าแบรนด์ จะนำเทคโนโลยีระดับโลกรูปแบบใดเข้ามาสู่ตลาดไทยในปีหน้า แน่นอนว่าการนำเทคโนโลยีไฮโดรเจนมาใช้งานจริงในประเทศไทยนั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ให้บริการด้านพลังงาน แต่ฮุนได ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการก้าวสู่โลกพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยี BEV, Hybrid และ FCEV ควบคู่กันมาโดยตลอด ซึ่งวิสัยทัศน์ที่คิดแบบรอบด้านนี้ จะช่วยให้แบรนด์สามารถปรับกลยุทธ์และตอบสนองความต้องการของแต่ละประเทศ รวมถึงประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความตั้งใจทำธุรกิจระยะยาวในเมืองไทยของฮุนได ซึ่งแม้จะยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่ก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ฮุนได กำลังลงทุนจัดตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรีและโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มสายการผลิตได้ในไตรมาส 2 ของปี 2569 ด้วยกำลังการผลิตราว 5,000 คัน เน้นการผลิตตามความต้องการของตลาด ควบคู่กับการขยายไลน์รถยนต์ไฟฟ้าบนแพลตฟอร์ม E-GMP ที่รองรับการชาร์จเร็ว พื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขึ้น และสมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้นในทุกมิติ รวมถึงการพัฒนาระบบไฮบริดเจเนอเรชันใหม่สำหรับรถ SUV และรถครอบครัว
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ยังยกให้ปี 2569 เป็นปีที่จะมีการผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบความปลอดภัยขั้นสูง (ADAS) อย่างจริงจังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ OTA, ระบบ AI ภายในรถ หรือเทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะ ซึ่งล้วนสอดคล้องกับกลยุทธ์ระดับโลกของฮุนได ในการยกระดับประสบการณ์การขับขี่และความปลอดภัยของผู้ใช้รถในทุกตลาด รวมถึงประเทศไทยด้วย


