Thailands Regulatory Reform : รีเซ็ตกฎเกณฑ์ภาครัฐ เปลี่ยนเบรกเป็นคันเร่งเพิ่มประสิทธิภาพ เอื้อให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้

KEY SUMMARY
กฎเกณฑ์ภาครัฐไม่เอื้อ ฉุดไทยแข่งขันไม่ได้
อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทย (โดย IMD 2025) ล่าสุดในปี 2025 ร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 30 จาก 69 ประเทศทั่วโลก (จากอันดับ 25 ในปี 2024) โดยเฉพาะด้าน ประสิทธิภาพภาครัฐ (Government efficiency) ที่ปรับแย่ลงมากสุดในรอบ 10 ปี ในบางมิติย่อยอันดับแย่ลงมาก เช่น ความโปร่งใส สินบนและคอร์รัปชัน การปรับนโยบายรัฐให้ทันสถานการณ์ และกฎหมายแข่งขันทางการค้า ในขณะที่มาเลเซียแซงไทยไปแล้ว อันดับการแข่งขันปรับดีขึ้นเป็น 23 (ปี 2024 อันดับ 34) มิติ Government efficiency นำไทย อยู่ที่อันดับ 25 (จากอันดับ 33 ปี 2024) สะท้อนชัดว่า กฎเกณฑ์และกลไกของภาครัฐไทยปรับตัวได้ช้า ประสิทธิภาพภาครัฐแข่งขันในโลกแย่ลง กลายเป็นหนึ่งตัวแปรสำคัญฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
บทเรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน : เวียดนามเดินหน้าปฏิรูปกฎเกณฑ์จริงจัง
เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศในภูมิภาคที่มีความพยายามในการปฏิรูปเศรษฐกิจและปรับปรุงประสิทธิภาพของภาครัฐอย่างจริงจังผ่านการเริ่มปฏิรูปกฎหมายตั้งแต่ปี 2007 แม้เวียดนามจะไม่อยู่ในกลุ่มประเทศที่ IMD จัดอันดับ แต่เห็นพัฒนาการได้จากดัชนีการรับรู้การคอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index) โดยอันดับของเวียดนามปรับดีขึ้นสู่อันดับที่ 88 ในปี 2024 จาก 111 ในปี 2015 สวนทางกับอันดับของไทยที่ปรับลดลงสู่ 107 จาก 76 ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ เวียดนามยังมีแผนปฏิรูปด้านกฎเกณฑ์ภาครัฐและด้านเศรษฐกิจในระยะปานกลางอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีนี้ ซึ่งหากไทยยังไม่เร่งการปฏิรูปกฎเกณฑ์อย่างจริงจังและเป็นระบบ ประสิทธิภาพภาครัฐของเวียดนามจะยิ่งทิ้งห่างภาครัฐของไทยมากขึ้นเช่นกัน
ต้นตอของปัญหา : กฎหมายล้าสมัยและซับซ้อน
ไทยมีกฎหมาย-ใบอนุญาตกว่า 100,000 ฉบับ โดยกฎเกณฑ์ภาครัฐส่วนใหญ่ล้าสมัย ซ้ำซ้อน มีกระบวนการขั้นตอนมาก ใช้ดุลยพินิจสูง เปิดช่องคอร์รัปชันเพื่อเร่งรัดกระบวนการทางกฎหมาย เพิ่มต้นทุนแฝงให้ภาคธุรกิจและประชาชน อีกทั้ง ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะในช่วงที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมากเช่นทุกวันนี้
แม้ไทยเริ่มปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐมานานแล้ว แต่ยังไม่เห็นผลชัดเจน
ปัญหา Regulatory reform ไม่ใช่เรื่องใหม่ของไทย รัฐบาลที่ผ่านมาต่างตระหนักถึงปัญหานี้และพยายามปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การปฏิรูปยังไม่ค่อยเห็นผลเป็นรูปธรรม เพราะไทยขาดผู้นำที่มุ่งมั่นจริงจัง ขาดเจ้าภาพหลัก ขาดแรงจูงใจในระบบราชการให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง และขาดความต่อเนื่องทางการเมือง
ประเทศที่ปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐได้สำเร็จ เช่น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร และเวียดนาม ต่างมีปัจจัยร่วม คือ ผู้นำตั้งเป้าหมายปฏิรูปครั้งใหญ่และกำหนดกรอบเวลาชัดเจน การตั้งเจ้าภาพกลางที่มีอำนาจกำกับติดตาม การออกแบบระบบติดตามความคืบหน้าที่โปร่งใส รวมถึงการเปิดให้ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมให้ข้อมูลเพื่อปรับปรุง
การปฏิรูปกฎเกณฑ์ไทย ต้องสร้างแรงจูงใจ และความร่วมมือทุกภาคส่วน
การปฏิรูปจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม สื่อ และนักวิชาการ
ภาครัฐ : ต้องริเริ่มตั้งเป้า ปรับปรุงกฎเกณฑ์ ที่ล้าสมัย และ อำนวยความสะดวกของภาครัฐ ด้วยระบบดิจิทัลแบบรวมศูนย์ข้อมูล
ภาคเอกชน : มีบทบาทร่วมชี้ปัญหาอุปสรรค และเสนอทางออก
ภาคประชาสังคม สื่อ และนักวิชาการ : มีบทบาทช่วยสื่อสารและตรวจสอบ
การปฏิรูปกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจรายสาขาอุตสาหกรรม อาจเริ่มต้นจาก 5 อุตสาหกรรมหลักที่ไทย
มีศักยภาพสูง สามารถแข่งขันโลกได้ ได้แก่ เกษตรและอาหาร, ท่องเที่ยว, การแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพ (Medical & Wellness), ยานยนต์ และ Smart electronics ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้มีการจ้างงานต่อเนื่องจำนวนมาก และมีห่วงโซ่มูลค่าเชื่อมโยงกับภาคส่วนอื่นในระบบเศรษฐกิจสูง การเริ่มปฏิรูปกฎเกณฑ์ผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพสูงของประเทศจะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ และเป็นต้นแบบขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่นได้ในอนาคต
อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร : ตัวอย่างนำร่องของการปฏิรูปกฎเกณฑ์
แม้ไทยมีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร แต่ยังต้องเผชิญอุปสรรคจากกฎเกณฑ์ภาครัฐ โดยปัญหาหลัก คือ (1) กฎเกณฑ์ล้าสมัย เช่น พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 ที่ไม่รองรับนวัตกรรมใหม่ เช่น Novel food โปรตีนจากพืช (2) ข้อกำหนดเข้มงวดเกินจำเป็น เช่น การบังคับแยกเครื่องจักรผลิตสมุนไพร หรือ พ.ร.บ. พันธุ์พืช ด้านข้อกำหนดเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ (3) บิดเบือนกลไกตลาด เช่น มาตรการนำเข้า 1:3 ที่เพิ่มต้นทุนวัตถุดิบให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ และ (4) ไม่เอื้อต่อนวัตกรรม เช่น ห้ามปลูกพืช GMO ในประเทศ
นอกจากนี้ การอำนวยความสะดวกของระบบราชการที่เป็นคอขวดสำคัญ คือ (1) ขั้นตอนขออนุญาตซ้ำซ้อน หลายหน่วยงาน ใช้เวลานาน (2) ระบบดิจิทัลไม่เชื่อมโยง ขาดพอร์ทัลกลาง (3) เจ้าหน้าที่ขาดความเชี่ยวชาญ และตีความกฎหมายไม่ตรงกัน ทำให้ธุรกิจเสียต้นทุน เสียเวลา และเสียโอกาสสร้างนวัตกรรมใหม่โดยไม่จำเป็น
Quick Win = ผลไม้สุกใกล้มือ ภาครัฐเริ่มได้ทันที
การปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐไทย ไม่ต้องรอการแก้กฎหมายลำดับชั้นสูงรอผ่านสภาฯ แต่เริ่มได้ทันที โดย (1) ตรงจุด แก้/ยกเลิกกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ ผ่านมติ ครม. หรือประกาศกระทรวง ไม่ต้องรอแก้ พ.ร.บ. (2) ต่อยอด บังคับใช้กฎหมาย Regulatory Impact Assessment (RIA) จริงจัง เพื่อทบทวนกฎหมายทุก 35 ปี และ (3) ตั้งคนกลาง (Project Management Office : PMO) ทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและทำงานร่วมกับภาคเอกชน กำกับแผนปฏิรูปให้เดินหน้าได้จริง ติดตามผลความคืบหน้า และสื่อสารโปร่งใส
ไทยแข่งขันได้แย่ลงในเวทีโลก ประสิทธิภาพภาครัฐเป็นตัวฉุดสำคัญ
รายงานความสามารถในการแข่งขันโลกปี 2025 ของ International Institute for Management Development (IMD) ชี้ว่า อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยปรับลดลง 5 อันดับอยู่ที่ 30 จาก 69 ประเทศทั่วโลกที่จัดอันดับ ซึ่งประเมินจากองค์ประกอบ 4 มิติหลัก ได้แก่ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพภาครัฐ ประสิทธิภาพภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน มิติน่ากังวลที่สุดสำหรับไทย คือ ประสิทธิภาพภาครัฐ เพราะอันดับร่วงลงมามากอยู่ที่ 32 ต่ำสุดในรอบ 10 ปี
(รูปที่ 1) ขณะที่ดัชนีย่อยสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหลักของประสิทธิภาพภาครัฐไทย เช่น ความโปร่งใสต่ำ (อันดับ 59),
การติดสินบนและคอร์รัปชัน (อันดับ 55), ความสามารถในการปรับนโยบายภาครัฐที่ไม่ทันโลก (อันดับ 53) และกฎหมายแข่งขันทางการค้าที่ยังไม่เข้มแข็ง (อันดับ 52) หากพิจารณาคะแนนรวมสุทธิของทั้ง 4 ด้าน จะพบว่าคะแนนของไทยปรับลดลงจาก 72.51 ในปีก่อน สู่ 71.32 ในปี 2025 สวนทางกับประเทศอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มคะแนนสุทธิเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างพัฒนาการที่เห็นได้ชัดประเทศหนึ่ง คือ มาเลเซีย ซึ่งในปี 2025 มาเลเซียขยับอันดับด้านประสิทธิภาพภาครัฐ
แซงหน้าไทยแล้ว สู่อันดับที่ 25 จากอันดับ 33 ในปี 2024 เป็นผลจากการปฏิรูประบบราชการภายใต้โครงการ Reformasi Kerenah Birokrasi (RKB) ที่เริ่มต้นในปี 2023 โดยภาครัฐตั้งเป้าลดขั้นตอนทางราชการและความซ้ำซ้อนทางกฎหมาย พร้อมยกระดับบริการภาครัฐสู่ระบบดิจิทัล ควบคู่กับแนวนโยบายที่เน้นความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน ทำให้ภาครัฐมาเลเซียบริการประชาชนได้เร็วขึ้น โปร่งใสมากขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น
จะเห็นได้ว่าปัญหาประสิทธิภาพของภาครัฐเป็นตัวแปรสำคัญที่ฉุดความสามารถในการแข่งขันของไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีที่มาจากปัญหาด้านกฎหมายและกฎระเบียบ เช่น ความซ้ำซ้อนและล้าสมัยของกฎหมาย กระบวนการธุรกิจที่มีขั้นตอนมากและใช้เวลานาน อีกทั้ง การตีความที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงานทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้ดุลยพินิจสูง
สอดคล้องกับผลสำรวจมุมมองภาคประชาชนต่อปัญหาคอร์รัปชันในไทย จากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เดือน มิ.ย. 2025 ชี้ว่า ความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบ กระบวนการทางการเมืองที่ขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก รวมถึงกฎหมายที่ให้สามารถใช้ดุลยพินิจที่เอื้อต่อการทุจริต เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาคอร์รัปชัน ทำให้มุมมองต่อปัญหาคอร์รัปชันไทยยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่การสำรวจในช่วงปี 2022-2025 พบว่า สัดส่วนเงินเพิ่มพิเศษของรายได้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับภาครัฐจะต้องจ่ายเพิ่มแก่ข้าราชการหรือนักการเมืองทุจริตเพื่อให้ได้สัญญา เฉลี่ยอยู่ที่ 15-30% สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 2018-2021 ซึ่งอยู่ที่ 1-15%
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า กฎหมายและกฎระเบียบของภาครัฐได้สร้างต้นทุนแฝงให้ภาคธุรกิจไทย ผ่านความต้องการเร่งรัดกระบวนการ เพิ่มโอกาสคอร์รัปชัน บั่นทอนบรรยากาศการลงทุน ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน เทียบกับประเทศ ที่สามารถปรับปรุงกติกาภาครัฐให้โปร่งใส คล่องตัว และเอื้อต่อการทำธุรกิจได้มากกว่า เช่น มาเลเซีย และเวียดนาม
ประสิทธิภาพภาครัฐของไทยแย่ลงเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนาม
ขณะที่ไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านประสิทธิภาพภาครัฐ ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามกลับพัฒนาขึ้นเร็วและมีแผนพัฒนาประเทศจากนโยบายปฏิรูปครั้งใหญ่ แม้เวียดนามจะไม่ได้ถูกจัดอันดับใน IMD แต่หากพิจารณาผ่านดัชนี Worldwide Governance Indicators ของธนาคารโลก ในหมวดประสิทธิภาพภาครัฐ ซึ่งสำรวจคุณภาพของบริการสาธารณะและระบบราชการ รวมถึงการปฏิบัติตามแนวนโยบายที่ให้ไว้กับประชาชน ในช่วงปี 2014-2023 พบว่า เวียดนามมีอันดับ Percentile เพิ่มขึ้นเป็น 56.1 จาก 53.8 (โดยค่า Percentile สูง หมายถึง ประสิทธิภาพภาครัฐดีขึ้น) ขณะที่อันดับไทยปรับลดลงอยู่ที่ 58.5 จาก 63 ด้านการทุจริต ซึ่งวัดจากดัชนีรับรู้การทุจริตหรือ Corruption Perception Index ของเวียดนามแซงไทยได้แล้ว โดยอันดับของไทยปรับลดลงสู่อันดับ 107 ในปี 2024 จากเดิมอันดับ 76 ในปี 2015 สวนทางกับเวียดนาม ซึ่งอันดับปรับดีขึ้นเป็น 88 จากเดิมอันดับ 111 ในปี 2015 สะท้อนความสำเร็จของเวียดนามจากความพยายามปราบการทุจริตครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 2016 และยังดำเนินการต่อเนื่องถึงปัจจุบัน (รูปที่ 2)
ในระยะข้างหน้าเวียดนามไม่ได้หยุดเพียงการปรับปรุงประสิทธิภาพภาครัฐและระบบราชการ แต่กำลังเร่งแผนปฏิรูปหลายด้านครอบคลุมการลงทุนภาคเอกชน ทุนมนุษย์และทักษะ และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการสร้าง Lean-Digital-Fast government ลดขนาดและความซับซ้อนของภาครัฐ เพื่อสนับสนุนให้เอกชนสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ซึ่งรัฐบาลเวียดนามได้เริ่มทำอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ผ่านการควบรวมกระทรวงหลัก ลดจำนวนข้าราชการ
และเริ่มใช้ระบบดิจิทัลมากขึ้น นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายในปี 2030 ไว้ชัดเจน เช่น ต้องการลดกระบวนการภาครัฐที่เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจให้ได้ 30% และเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้สนับสนุนภาคธุรกิจให้เริ่มลงมือทำ ก่อนการกำกับติดตาม
ในภายหลัง
ความพยายามในการปฏิรูปของเวียดนามในอดีตเริ่มสะท้อนผลลัพธ์ผ่านพัฒนาการที่ดีขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจและการบริหารของรัฐ อีกทั้ง ความพยายามปฏิรูปในระยะข้างหน้ายิ่งเป็นเครื่องมือรับรองความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามที่ดีขึ้น ซึ่งอาจทำให้ศักยภาพของเศรษฐกิจเวียดนามทิ้งห่างไทยมากขึ้น ยิ่งเป็นสัญญาณว่าไทยต้องเร่งทบทวนและปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่เดิม ค้นหาสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจ พร้อมกำหนดแนวทางการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
กฎหมายไทยมีมาก ซับซ้อน ขั้นตอนนาน เป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ
จากข้อมูลของสำนักงาน ป.ป.ช. ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายมากกว่า 100,000 ฉบับซึ่งถือว่ามากเกินไปแบ่งได้เป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติกว่า 1,400 ฉบับ กฎหมายลำดับรองมากกว่า 100,000 ฉบับ และใบอนุญาตอีกกว่า 7,000 รายการ โดยปัญหาของกฎหมายไทยไม่ได้อยู่ที่จำนวนมากเพียงอย่างเดียว แต่ที่สำคัญคือ กฎหมายจำนวนมากนั้นยังมีความซ้ำซ้อน เข้มงวดล้าสมัย และส่วนใหญ่เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาในอดีต ซึ่งขาดการทบทวนให้เหมาะสมกับบริบทปัจจุบัน อีกทั้ง ยังขาดการเตรียมพร้อมรองรับความท้าทายทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ในอนาคต (รูปที่ 3) ขณะเดียวกัน การบังคับใช้กฎหมายยังเป็นอุปสรรคเพิ่มเติมให้ภาคธุรกิจ เนื่องจากการขาดเอกภาพ หน่วยงานต่าง ๆ ขาดการบูรณาการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูงในการพิจารณากฎหมายต่อภาคธุรกิจและประชาชน
ผลกระทบที่ตามมาคือ ธุรกิจต้องเผชิญกับต้นทุนที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามขั้นตอนที่ซับซ้อน เวลาที่เสียไปกับขั้นตอนการขออนุญาตหรือการตีความกฎหมายที่ไม่ชัดเจน รวมถึงการเปิดโอกาสให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันจากความต้องการเร่งรัดกระบวนการ นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการลงทุน เพราะกฎหมายจำนวนมากขาดความเป็นระบบ ด้วยเหตุนี้ทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาครัฐไทยได้พยายามขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายและปรับปรุงกฎเกณฑ์ภาครัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันมากขึ้น
ไทยเริ่มปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐมากว่าสิบปี แต่ยังไม่ค่อยเห็นผลเป็นรูปธรรม
ประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปกฎระเบียบผ่านแนวคิด Regulatory Guillotine ตั้งแต่ปี 2017 โดยมีเป้าหมาย
เพื่อลดจำนวนกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน โดยในระยะแรกได้มีการทบทวนและปรับปรุงขั้นตอนทางราชการกว่า 1,000 รายการ รวมถึงมีการจัดตั้งระบบการให้บริการภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Biz portal ซึ่งมีเป้าหมายให้เป็น One Stop Service ที่ให้บริการออกใบรับรอง ใบอนุญาต และเอกสารต่าง ๆ ให้กับภาคธุรกิจ
ต่อมาได้จัดตั้งคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจช่วงปี 20232025 โดยมีแนวทางสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การส่งเสริมการประกอบธุรกิจ การพัฒนาระบบใบอนุญาตให้ทันสมัย การอำนวยความสะดวกด้านการนำเข้าส่งออก และการผลักดันบริการรูปแบบใหม่ เช่น Super licensing ที่ลดเหลือใบอนุญาตหลักเพียงใบเดียว โดยเริ่มดำเนินการในธุรกิจอาหาร ที่พักขนาดเล็ก และการถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย
อย่างไรก็ดี ความพยายามขับเคลื่อนการปฏิรูปของไทยที่ผ่านมายังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้ อาจมีสาเหตุสำคัญจาก
1. การขาดผู้นำทางการเมืองและเจ้าภาพหลักที่มีอำนาจกำกับติดตามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความพยายามกระจัดกระจายไม่บูรณาการ ส่งผลให้ความคืบหน้าโครงการส่วนใหญ่อยู่ในขั้นตอนศึกษา หรือแม้มีความพยายามดำเนินการ แต่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้อย่างกว้างขวาง
2. หน่วยงานภาครัฐขาดแรงจูงใจในการปฏิรูปกฎหมาย ยังต้องการรักษาผลประโยชน์จากอำนาจการอนุมัติและควบคุมกฎเกณฑ์ไว้กับตนเอง อีกทั้ง การประเมินผลของหน่วยงานภาครัฐส่วนมาก อาจไม่ได้ผูกโยงกับการลดภาระทางกฎหมายหรือผ่อนคลายกฎเกณฑ์ จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมยังมีจำกัด
3. ความไม่ต่อเนื่องทางการเมือง รัฐบาลแต่ละชุดให้ความสำคัญแนวนโยบายนี้แตกต่างกันไป ที่ผ่านมาการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปจะขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรีโดยตรง เมื่อรัฐบาลเกิดการเปลี่ยนแปลง ความพยายามจะปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐมักสะดุดตาม
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ไทยจะพอเห็นปัญหานี้ แต่ยังขาดกลไกและพลังขับเคลื่อนจริงจังมากพอที่จะทำให้การปฏิรูปกฎเกณฑ์เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ปฏิรูปกฎเกณฑ์ในไทย ทำอย่างไรให้สำเร็จเป็นรูปธรรม
กรณีศึกษาจากต่างประเทศชี้ให้เห็นว่าการปฏิรูปกฎหมายสามารถทำได้จริง หากมีผู้นำที่มีเป้าหมายชัดเจนและออกแบบกลไกติดตามที่เข้มแข็ง เช่น กรณีเกาหลีใต้ ในช่วงหลังวิกฤตปี 1997 ได้ตั้งคณะกรรมการร่วมรัฐเอกชน และกำหนดเป้าหมายชัดเจนในการยกเลิกหรือปรับปรุงกฎระเบียบ 50% ภายใน 6 เดือน พร้อมใช้หลักการ Reverse Proof ที่ให้หน่วยงานรัฐต้องพิสูจน์ว่ากฎหมายใดจำเป็น หากไม่สามารถอธิบายได้ต้องถูกยกเลิกไป ส่งผลให้สามารถลดกฎระเบียบลงเกือบครึ่งในเวลาอันสั้น
กรณีสหราชอาณาจักร มีโครงการ Red Tape Challenge ช่วงปี 2011-2014 เพื่อทบทวนและลดกฎระเบียบที่เป็นภาระต่อภาคธุรกิจ โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับโครงการนี้มากและมีกลไกทำงานร่วมกับภาคธุรกิจและประชาชนอย่างชัดเจน ทั้งมีการเปิดเว็บไซต์ให้ภาคเอกชนและประชาชนเสนอความคิดเห็นต่อความเหมาะสมของกฎหมาย จัดตั้งหน่วยงานกลางอย่าง Better Regulation Executive ทำหน้าที่ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงาน อีกทั้ง มีการรายงานการประหยัดต้นทุนอย่างชัดเจนให้กับสังคมได้รับรู้ โครงการนี้ครอบคลุมกฎหมายและข้อบังคับกว่า 6,500 ฉบับ ซึ่งต่อมา สามารถยกเลิกหรือปรับปรุงได้ 3,000 ฉบับเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ
กรณีเวียดนาม ประกาศปฏิรูปกฎหมาย Project 30 ในช่วงปี 2007 - 2010 เพื่อลดความซับซ้อนของขั้นตอนการบริหารราชการและกฎระเบียบธุรกิจ ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พร้อมเปิดให้ภาคเอกชนและประชาชนมีส่วนร่วมในการทบทวนกฎหมายและขั้นตอนต่าง ๆ ผลลัพธ์คือ เวียดนามสามารถลดภาระทางกฎหมายได้กว่า 30% และประหยัดค่าใช้จ่ายของภาคธุรกิจและประชาชนเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ (รูปที่ 4)
แม้วิธีการปฏิรูปกฎหมายในประเทศเหล่านี้จะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่กลับมีจุดร่วมที่ไทยยังไปไม่ถึง นั่นคือ การมีผู้นำที่ตั้งเป้าหมายปฏิรูปครั้งใหญ่และมีระยะเวลาชัดเจน กำหนดเจ้าภาพกลางที่มีอำนาจกำกับติดตามความต่อเนื่อง รวมถึงออกแบบระบบติดตามที่โปร่งใส เปิดให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
การปฏิรูปกฎเกณฑ์จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีผู้นำที่มุ่งมั่น และสร้างแรงจูงใจร่วมจากทุกภาคส่วน
ในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเร่งด่วน ให้เร่งทบทวน ปรับปรุง หรือยกเลิกกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อลดภาระที่ไม่จำเป็นและเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พร้อมทั้งผลักดันการปฏิรูปกฎหมายเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นก้าวสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอบโจทย์บริบทเศรษฐกิจและสังคมยุคใหม่
อย่างไรก็ดี การปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐจะเกิดผลจริงและยั่งยืน ต้องมี ผู้นำรัฐบาล ที่กล้านำ กล้าตัดสินใจ
และติดตามผลต่อเนื่อง พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนเห็นความจำเป็นและประโยชน์ร่วมกัน การปฏิรูปควรเน้น 2 ด้านหลัก คือ
1) ปรับปรุงกฎระเบียบ ลดความซ้ำซ้อนและล้าสมัย จากผลศึกษาของ TDRI (2019) ในโครงการทบทวนกฎหมายใบอนุญาตของทางราชการ มีตัวอย่างกฎหมาย 1,094 กระบวนงาน จาก 16 กระทรวง 47 กรม ผลศึกษาพบว่า สามารถยกเลิกได้ 39% ปรับปรุง 43% คงไว้ 15% และต้องรื้อสร้างใหม่เพียง 4% เท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนภาคเอกชนได้ถึง 133,816 ล้านบาทต่อปี หรือราว 0.8% ของ GDP
2) การอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนราชการที่ซับซ้อน ขอเอกสารจากหลายหน่วยงาน โดยใช้ระบบดิจิทัลแบบรวมศูนย์ เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และยกระดับทักษะบุคลากรภาครัฐ เพื่อให้สามารถให้คำแนะนำกับภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกำหนดมาตรฐานการตีความกฎหมายให้ชัดเจน
การปฏิรูปจะเห็นผลเร็ว ควรเริ่มจาก 5 อุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพสูงและเชื่อมโยงเศรษฐกิจวงกว้าง ได้แก่ เกษตรและอาหาร ท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ (Medical & Wellness) ยานยนต์ Smart electronics โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ที่มีการจ้างงานสูง มีสัดส่วนของ SMEs มาก และเกี่ยวข้องห่วงโซ่มูลค่าเศรษฐกิจในวงกว้าง ดังนั้น การเริ่มต้นปฏิรูปจากอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ก่อนจะช่วยสร้าง ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ และเป็นต้นแบบขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่นในอนาคต
ความร่วมมือคือหัวใจความสำเร็จของการปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐ กุญแจสำคัญของความสำเร็จจะต้องเกิดจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดย (1) ภาครัฐ ต้องเป็นผู้นำ สร้างแรงจูงให้ทุกภาคส่วนเห็นความจำเป็นของการปฏิรูป เป็นผู้เริ่มลงมือให้เห็นก่อน ผ่านการลดขั้นตอนและสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงาน (2) ภาคธุรกิจต้องร่วมเสนอปัญหาและแนวทางปรับปรุงกฎระเบียบ ร่วมประเมินผลกระทบทางกฎหมายที่ภาครัฐออกมาอย่างต่อเนื่อง และ (3) ภาคสังคม สื่อ และนักวิชาการ ช่วยตรวจสอบและสื่อสารข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน จะเห็นได้ว่าการปฏิรูปกฎเกณฑ์ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่คือการสร้าง ระบบราชการที่แข่งขันได้ เพื่ออนาคต
ของเศรษฐกิจไทย


