แชร์

คปภ. สรุปผลการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ผ่าน 13 ประเด็นสำคัญ ภายใต้แนวคิด คปภ. ขับเคลื่อนอนาคตประกันภัยไทย สู่ความมั่นคงและยั่งยืน ในงาน OIC X PRESS

อัพเดทล่าสุด: 22 ธ.ค. 2025
91 ผู้เข้าชม

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) จัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ อันดีระหว่างสำนักงาน คปภ. และสื่อมวลชน เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านประกันภัยสู่ประชาชน OIC X PRESS ประจำปี 2568 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ณ วาระเวลา การ์เด้น ฮอลล์ โดยมีนายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของสำนักงาน คปภ. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแถลงสรุปผลงานและทิศทางการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ภายใต้หัวข้อ คปภ. ขับเคลื่อนอนาคตประกันภัยไทย สู่ความมั่นคงและยั่งยืน (OIC : Next Chapter Driving the Future of Insurance towards Stability and Sustainability) โดยมีสื่อมวลชนสายประกันภัย สายเศรษฐกิจ และสายการตลาดที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

เลขาธิการ คปภ. กล่าวถึงการขับเคลื่อนระบบประกันภัยไทยในปี 2568 ที่ผ่านมาว่า สำนักงาน คปภ. ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญท่ามกลางบริบทความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี โครงสร้างประชากร และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยมุ่งยกระดับการกำกับดูแลเชิงรุกบนฐานข้อมูล (Data-Driven Regulation) ควบคู่กับการพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลให้สอดคล้องกับหลักสากล และการเสริมสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ระบบประกันภัยไทยมีความเข้มแข็ง สามารถรองรับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีกรอบการขับเคลื่อนผ่าน 13 ประเด็นสำคัญ ดังนี้

ประเด็นที่ 1 ภาพรวมธุรกิจประกันภัย ปี 2568 ข้อมูลภาพรวมธุรกิจประกันภัย ประจำปี 2568 สำนักงาน คปภ. ประเมินว่า การดำเนินธุรกิจประกันภัยในปี 2568 ยังคงเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนในหลายมิติ ทั้งจากทิศทาง อัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังคงมีความระมัดระวัง อย่างไรก็ดี จากข้อมูลภาพรวมอุตสาหกรรมประกันภัย ปี 2568 คาดว่าธุรกิจประกันภัยทั้งระบบจะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมประมาณ 969,117 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.15 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนถึงการเติบโตภายใต้บริบทความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณาแยกตามประเภท พบว่าธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงประมาณ 675,957 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 3.51 ขณะที่ธุรกิจประกันวินาศภัยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงประมาณ 293,220 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 2.33 โดยโครงสร้างการเติบโตดังกล่าวสะท้อนถึงความต้องการของประชาชน ในด้านการบริหารความเสี่ยงระยะยาว การออม และการคุ้มครองสุขภาพที่เพิ่มขึ้นท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจและสังคม

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวในระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การเร่งรัดการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ทยอยปรับดีขึ้น ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงปลายปีซึ่งเป็นฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยและช่วงการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยเฉพาะด้านการออม การคุ้มครองสุขภาพ และการบริหารความเสี่ยงของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ  มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้บริบทดังกล่าว สำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินทิศทางอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเติบโตของธุรกิจประกันภัยเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสะสมในระบบ และสามารถทำหน้าที่ เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการเงินของประเทศในระยะยาว

ประเด็นที่ 2 ความสำเร็จของเวทีการประชุม OIC Meets CEO เพื่อยกระดับความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมประกันภัยไทย การประชุม OIC Meets CEO จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่สอง โดยเป็นเวทีสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง มีเสถียรภาพ และยั่งยืน ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของนโยบายและการปฏิบัติจริง โดยประชาชนจะได้รับประโยชน์จากระบบประกันภัย ที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น ผ่านการยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ลดความล่าช้าในการพิจารณาสินไหมและข้อร้องเรียน รวมถึงการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถและการป้องกันการฉ้อฉลด้านประกันภัย ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจประกันภัยได้รับความชัดเจน ด้านทิศทางกฎเกณฑ์และนโยบายสำคัญ เช่น RBC, IFRS 17, ESG และการบริหารความเสี่ยง ทำให้สามารถปรับตัวเชิงรุก วางแผนการดำเนินงานได้อย่างมีเสถียรภาพ และลดต้นทุนความเสี่ยงในระยะยาว การประชุม OIC Meets CEO จึงเป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงนโยบายกับการปฏิบัติ ช่วยให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองที่มีคุณภาพ ภาคธุรกิจมีทิศทางที่ชัดเจน และระบบประกันภัยไทยสามารถสนับสนุนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม

ประเด็นที่ 3 เรื่องการยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision) สำนักงาน คปภ. เดินหน้ายกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของไทย โดยนำแนวทางการกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision : GWS) ตามหลักการสากลมาปรับใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างธุรกิจประกันภัยในปัจจุบันที่มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มธุรกิจและขยายการลงทุนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใส เสริมเสถียรภาพ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยในระยะยาว การกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision) แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับ Solo Consolidation กำกับดูแลบริษัทประกันภัยและบริษัทลูกที่มีอำนาจควบคุมในหลักการเดียวกับการกำกับบริษัทประกันภัย ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว และระดับ Full Consolidation กำกับดูแลในระดับบริษัทแม่สูงสุดของบริษัทและนิติบุคคลที่บริษัทมีอำนาจควบคุมหรือถือหุ้นโดยตรงหรือโดยอ้อม ตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป หรือบริษัทร่วม หรือบริษัทลูก ซึ่งคาดว่าจะออกหลักเกณฑ์ได้ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2569

ประเด็นที่ 4 การปรับปรุงประกาศ คปภ. เรื่องการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย ข้อมูลการลงทุน และการลดค่าความเสี่ยง (Risk Charge) สำนักงาน คปภ. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย ให้มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับโครงสร้างธุรกิจและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบริษัท ภายใต้การกำกับดูแลตามหลัก Risk Proportionality เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยสามารถเข้าถึงช่องทางการลงทุนได้ไม่จำกัดประเภทการลงทุนเพิ่มโอกาส สร้างผลตอบแทน กระจายความเสี่ยง และเสริมความมั่นคงให้เงินออมของประชาชนที่อยู่ในรูปแบบกรมธรรม์ประกันภัย ขณะเดียวกันได้ส่งเสริมบทบาทภาคประกันภัยในฐานะนักลงทุนสถาบัน โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนสำหรับ  ความเสี่ยงด้านตลาดจากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจากร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 18 ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการลงทุน เสริมสภาพคล่องตลาดทุน และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ประเด็นที่ 5 การกำหนดปัจจัยระดับพฤติกรรมการขับขี่ไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ สำนักงาน คปภ. ได้ยกระดับโครงสร้างการประกันภัยรถยนต์ของไทย โดยนำปัจจัยด้านพฤติกรรมการขับขี่มาใช้กำหนดพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงของผู้ใช้รถและสร้างความเป็นธรรมในระบบประกันภัย หลังจากที่ผ่านมาอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ยังอิงข้อมูลภาพรวม เช่น อายุหรือรุ่นรถ ซึ่งไม่สามารถสะท้อนพฤติกรรมการขับขี่รายบุคคลได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ผู้ขับขี่ที่มีวินัยต้องจ่ายเบี้ยใกล้เคียงกับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง สำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัยได้ร่วมกันกำหนดให้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เป็นแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ (สูงสุด 5 คน) เพื่อเชื่อมโยงการคำนวณเบี้ยกับพฤติกรรมการขับขี่จริง โดยผู้ขับขี่ที่ไม่มีอุบัติเหตุจากความประมาทจะได้รับการปรับระดับพฤติกรรมและส่วนลดเบี้ยสะสมสูงสุดถึงร้อยละ 40 และจะติดตัวผู้ขับขี่ไปตลอด ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนได้รับเบี้ยประกันภัยที่เป็นธรรมมากขึ้น สร้างแรงจูงใจให้ขับขี่ปลอดภัย ลดอุบัติเหตุและความสูญเสีย พร้อมยกระดับความโปร่งใสและความยั่งยืนของระบบประกันภัยรถยนต์ในระยะยาว

ประเด็นที่ 6 การศึกษาวิจัยเชิงลึกตามโครงการสร้างพื้นที่ต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนนและการรณรงค์ส่งเสริม การทำประกันภัยรถภาคบังคับ สำนักงาน คปภ. ได้ยกระดับบทบาทสู่การกำกับดูแลเชิงรุก ด้วยการริเริ่มโครงการสร้างพื้นที่ต้นแบบ  ด้าน ความปลอดภัยทางถนนและการรณรงค์ประกันภัยรถภาคบังคับในปี 2568 โดยกำหนดจังหวัดปราจีนบุรีเป็นพื้นที่นำร่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนและการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ประกันภัย พ.ร.บ. อย่างเป็นระบบ ซึ่งจากการดำเนินมาตรการเชิงรุกพบว่าสามารถลดค่าเฉลี่ยผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่จากเดิมประมาณ 0.461.00 คนต่อวัน เหลือต่ำกว่า 0.40 คนต่อวัน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบสองปีที่ผ่านมา และสำนักงาน คปภ. มีแผนต่อยอดขยายผลโครงการในปี 2569 เพื่อสร้างชุมชนและเยาวชนต้นแบบทั่วประเทศ เสริมสร้างความตระหนักรู้ ด้านประกันภัย และยกระดับระบบประกันภัยให้เป็นกลไกสำคัญในการลดความสูญเสียและสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน

ประเด็นที่ 7 การขับเคลื่อนระบบกรมธรรม์ประกันภัยอิเล็กทรอนิกส์ (e-Policy) สำนักงาน คปภ. เดินหน้าโครงการกรมธรรม์ประกันภัยอิเล็กทรอนิกส์ (e-Policy) และระบบจัดเก็บกรมธรรม์กลาง (e-Custodian) สำหรับประกันภัยรถภาคบังคับในปีถัดไป ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย โดยจะยกระดับการทำงานสู่ระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบที่เชื่อมโยงข้อมูลตั้งแต่การออกกรมธรรม์ การชำระเบี้ย และสถานะความคุ้มครองแบบครบวงจรและตรวจสอบได้ ส่งผลให้การกำกับดูแลมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และลดการฉ้อฉลอย่างเป็นระบบ ทั้งการปลอมแปลงกรมธรรม์ การออกกรมธรรม์ซ้ำซ้อน และการทุจริตของคนกลางประกันภัย ขณะเดียวกันประชาชนจะสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ได้สะดวก ชัดเจน และมั่นใจมากขึ้น บริษัทประกันภัยบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น ลดต้นทุน ในระยะยาว และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของระบบประกันภัยไทยให้มีความโปร่งใส ปลอดภัย และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งอุตสาหกรรม

ประเด็นที่ 8 การพัฒนาการให้บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับภาคการเงิน (Open Data / Open Insurance) สำนักงาน คปภ. เดินหน้าพัฒนาแนวคิด Open Insurance เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่ยุคดิจิทัล โดยใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นกลไกสำคัญในการลดต้นทุน เพิ่มความแม่นยำในการให้บริการ และสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ภายใต้กรอบการเปิดใช้ข้อมูลอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐานความปลอดภัย และยึดหลักความยินยอมของเจ้าของข้อมูลเป็นสำคัญ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลภาคธุรกิจประกันภัย และผู้ให้บริการเทคโนโลยี พร้อมยกระดับการกำกับดูแลเชิงป้องกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเริ่มทดสอบระบบในไตรมาสแรกของปี 2569 ทั้งนี้ Open Insurance ยังได้รับการออกแบบให้เชื่อมโยงกับแนวคิด Open Data และ Open Banking ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลทางการเงินและการประกันภัยของประเทศ เพิ่มความโปร่งใส ลดความเสี่ยงเชิงระบบและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยในระยะยาว

ประเด็นที่ 9 โครงการ ร้านอาหารอุ่นใจ มีประกันภัยคุ้มครอง สำนักงาน คปภ. ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันวินาศภัย ขับเคลื่อนโครงการ ร้านอาหารอุ่นใจ มีประกันภัยคุ้มครอง เพื่อส่งเสริมให้ร้านอาหารเข้าถึงการประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค โดยเริ่มนำร่องในจังหวัดขอนแก่น พร้อมมอบตราสัญลักษณ์ให้ร้านที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งถือเป็นการนำแนวคิด Embedded Insurance มาใช้จริง ทำให้ระบบประกันภัยเป็นส่วนหนึ่งของบริการร้านอาหาร ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ตั้งเป้าขยายจำนวนร้านอาหารที่ทำประกันภัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1,000 จาก 30 ร้านในปี 2568 เป็นไม่น้อยกว่า 300 ร้านในระยะถัดไป ควบคู่กับการพัฒนาระบบลงทะเบียนและการสร้างความรู้ให้ผู้ประกอบการในปี 2569 โดยโครงการดังกล่าวช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของร้านอาหาร เพิ่มความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคสนับสนุนรายได้และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ตลอดจนขยายฐานตลาดประกันภัยกลุ่ม SME และภาคธุรกิจบริการ สะท้อนบทบาทของระบบประกันภัยในฐานะกลไกบริหารความเสี่ยงที่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ประเด็นที่ 10 การจัดทำแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 25692573) ถือเป็น หมุดหมายสำคัญ ของการยกระดับระบบประกันภัยไทยในภาพรวม โดยแผนฉบับนี้มิใช่เพียงแผนงานของหน่วยงานกำกับดูแล หากแต่เป็น Blueprint สำคัญในการยกระดับระบบประกันภัยไทยทั้งระบบ เพื่อให้พร้อมเผชิญอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิดหลักว่า ระบบประกันภัยเป็นกลไกผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ และเป็นเครื่องมือจัดการความเสี่ยงของประเทศ โดยมุ่งเสริมความเข้มแข็งของภาคประกันภัย ยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลให้สอดคล้องหลักสากล และผลักดันการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างระบบประกันภัยที่มีความยืดหยุ่น แข็งแกร่ง พร้อมรองรับภัยขนาดใหญ่และความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ส่งเสริมการเข้าถึงประกันภัยอย่างทั่วถึงรองรับสังคมสูงวัยระดับสุดยอด และพัฒนาระบบนิเวศข้อมูลประกันภัยที่เชื่อมโยงและใช้เทคโนโลยีอย่างมี ความรับผิดชอบ ให้ระบบประกันภัยไทยมีความทันสมัย โปร่งใส และเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ประเด็นที่ 11 การจัดทำหลักสูตรพัฒนาบุคลากรประกันชีวิตนานาชาติ ASEAN Life Insurance Leadership Program (ALIP) เป็นการขับเคลื่อนตามแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 5 เพื่อยกระดับศักยภาพบุคลากรและสร้างเครือข่ายผู้นำด้านประกันชีวิตในภูมิภาคอาเซียน โดยสำนักงาน คปภ. ร่วมกับกองทุนประกันชีวิต และสมาคมประกันชีวิตไทย จัดทำหลักสูตรโครงการ ALIP โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากสำนักงาน คปภ. และหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันชีวิตในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ลาว กัมพูชา บรูไน ฟิลิปปินส์ และเมียนมา รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจาก บริษัทประกันชีวิตของไทยและภูมิภาคอาเซียนมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ยกระดับศักยภาพ และร่วมกันออกแบบอนาคตของระบบประกันชีวิต ในระดับภูมิภาค เข้าร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหาร ความเสี่ยงใหม่ ความยั่งยืน และนวัตกรรมดิจิทัล โดยโครงสร้างหลักสูตรแบ่งเป็น 4 Modules ได้แก่ การสำรวจพรมแดนใหม่ของธุรกิจประกันชีวิตอาเซียน การวางกลยุทธ์การเติบโตและความยืดหยุ่นขององค์กร การขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน และการเปิดโลกแห่งนวัตกรรม ภายใต้กรอบการดำเนินงาน 3 แกนหลัก คือ Reinforce การเสริมสร้างองค์ความรู้และ ศักยภาพบุคลากร Connect การเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาค และ Elevate การยกระดับความร่วมมือเชิงนโยบาย  จึงนับว่าเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันบทบาทของประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น Center of Insurance Excellence อย่างเป็นรูปธรรม

ประเด็นที่ 12 มาตรการทางภาษีเพื่อสังคมสูงวัย สร้างความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพ สำนักงาน คปภ. เห็นความสำคัญของการประกันชีวิตแบบบำนาญเพื่อเป็นทางเลือกหลักในการสร้างหลักประกันรายได้ยามเกษียณสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงการพัฒนารูปแบบบำนาญให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้สามารถจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญในรูปแบบเป็นเงินก้อนจำนวนหนึ่ง เมื่อเริ่มรับเงินบำนาญครั้งแรก (Lump-Sum) จากเดิมที่จ่ายเป็นจำนวนที่เท่ากันและเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันไดเท่านั้น เพื่อให้ผู้เอาประกันภัย ณ วันที่เริ่มเกษียณอายุสามารถรับผลประโยชน์เป็นเงินก้อน เพื่อนำไปใช้ในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยเกษียณ ซึ่งรูปแบบดังกล่าว จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนที่หลากหลายและยังคงได้รับสิทธิการยกเว้นภาษี

ประเด็นที่ 13 มาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูของสำนักงาน คปภ. เมื่อเกิดภัยพิบัติหรืออุบัติภัย สำนักงาน คปภ. ดำเนินการทันทีใน 3 ระยะสำคัญ ได้แก่ การช่วยเหลือ โดยตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ สั่งการให้บริษัทประกันภัยลงพื้นที่ประเมิน ความเสียหาย และออกมาตรการผ่อนผันแก่ผู้เอาประกันภัยและคนกลางประกันภัย การเยียวยา โดยกำชับให้บริษัทประกันภัยเร่งพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และเป็นธรรม พร้อมสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้ประชาชนเข้าใจสิทธิของตนเองอย่างชัดเจน และการฟื้นฟู โดยสำนักงาน คปภ. ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือและสนับสนุนการบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยสามารถตรวจสอบข้อมูลความคุ้มครองผ่านแอปพลิเคชัน OIC Connect ได้ตลอดเวลา สะท้อนบทบาทของสำนักงาน คปภ. ในการคุ้มครองสิทธิและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมไทยในทุกวิกฤตอย่างเป็นรูปธรรม

การขับเคลื่อนทั้ง 13 ภารกิจสำคัญในปี 2568 สะท้อนถึงทิศทางการทำงานของสำนักงาน คปภ. ที่มุ่งยกระดับระบบประกันภัยไทยอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติการคุ้มครองประชาชน การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคธุรกิจ และการสนับสนุนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยสำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลเชิงรุก การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นฐาน รวมถึงการทำงานร่วมกับ ทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ระบบประกันภัยเป็นกลไกบริหารความเสี่ยงที่ประชาชนเข้าถึงได้ เชื่อถือได้ และสามารถรองรับ ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่ความมั่นคง โปร่งใส และยั่งยืนอย่างแท้จริง


บทความที่เกี่ยวข้อง
MEDEZE พร้อมเดินหน้าตามนโยบายภาครัฐ  ขับเคลื่อน ผลิตภัณฑ์การแพทย์ชั้นสูง ทุกมิติ
กระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วยหน่วยงานทางแพทย์ ร่วมจัดงานประชุม Thailand ATMP Roadmap 2025 ภายใต้แนวคิด Fast Track to Access & Innovation : Fastest in ASEAN โดยนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
22 ธ.ค. 2025
ธอส. รับ 3 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568  สะท้อนการพัฒนาและบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตอย่างยั่งยืน
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รับรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568 จากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จำนวน 3 รางวัล ประกอบด้วย 1. รางวัลความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อการพัฒนาดีเด่น ประเภทรางวัลดีเด่น
22 ธ.ค. 2025
PTG ส่งเสริมโครงการ ปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง  ลดการปล่อยก๊าซมีเทนต่อยอดเป็นคาร์บอนเครดิต  พร้อมสานต่อโครงการ พีที ค่ายอาสาทำจริงไม่ทิ้งกัน ต.หนองสะเดา อ.สามชุก  จ.สุพรรณบุรี
บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ  PTG  ผู้นำการบริการในธุรกิจพลังงานครบวงจรของประเทศ เดินหน้าโครงการ ข้าวยั่งยืน ลดมีเทน ด้วยนาเปียกสลับแห้ง บนที่นา 500 ไร่ โดยร่วมกับบริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด (WAVE BCG)
22 ธ.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy