สรรพสามิตขับเคลื่อนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า EV3.5 ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางผลิตรถอีวีในภูมิภาค ส่งเสริมสังคมคาร์บอนต่ำ
กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิต เตรียมขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 (EV3.5) ในช่วง 4 ปี (2567-2570)
ผลักดันไทยเป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า
ตามที่รัฐบาลได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
หลังคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (อีวีบอร์ด) ซี่งมีนายเศรษฐา ทวีสิน
นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2
(EV3.5) ในช่วง 4 ปี (2567-2570)
เพื่อส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในการยกระดับศักยภาพในหลายมิติ
ควบคู่กับการขยายโอกาสของประเทศไทยในเวทีโลกในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญในประเทศไทย
ให้เกิดการขยายตัวและเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิตได้เตรียมขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค
ตามนโยบาย 30@30
ที่ตั้งเป้าการผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30
ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 คิดเป็นกำลังการผลิตรถยนต์ประมาณ 725,000
คัน และรถจักรยานยนต์ประมาณ 675,000 คัน
นายลวรณ แสงสนิท
ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า
สำหรับมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ ไฟฟ้าระยะแรก หรือ EV 3 ในปี 2565 ที่ผ่านมา
มีผู้นำเข้าและผู้ประกอบอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมมาตรการ EV3
ที่ได้ทำข้อตกลง (MOU) ร่วมกับกรมสรรพสามิต จำนวน 19 ราย
มีรถยนต์ที่ได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรการ EV3 จำนวน 28,841
คัน และรถไฟฟ้าที่มีการนำเข้าแต่ยังไม่ได้ยื่นขอรับเงินอุดหนุน จำนวน 61,436 คัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566)
สร้างผลสำเร็จในการกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค. – พ.ย. 66)
มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าใหม่จำนวน 67,056 คัน เพิ่มขึ้นกว่า 7.9 เท่า
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 8,483 คัน
โดยผลของมาตรการ EV3
ก่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มูลค่ารวม 61,425 ล้านบาท
จากโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่
การผลิตชิ้นส่วนสำคัญ รวมถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้า
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต
เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการ EV3.0 สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการใหม่นี้เพิ่มเติมได้ และผู้ประกอบการที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการสามารถเข้าร่วมมาตรการ
EV3.5 ได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมสรรพสามิต ดังนี้
1. รถยนต์นั่ง (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท) จะได้รับสิทธิประโยชน์
ดังนี้
1.1 สิทธิเงินอุดหนุน
1) ขนาดแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 10 kwh แต่ไม่เกิน
50 kwh
1.1) ปี 2567 –
2568 จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาท/คัน
1.2) ปี 2569 จะได้รับเงินอุดหนุน
35,000 บาท/คัน
1.3) ปี 2570 จะได้รับเงินอุดหนุน
25,000 บาท/คัน
2) ขนาดแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 50 kwh ขึ้นไป
2.1) ปี 2567 –
2568 จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท/คัน
2.2) ปี 2569 จะได้รับเงินอุดหนุน
75,000 บาท/คัน
2.3) ปี 2570 จะได้รับเงินอุดหนุน
50,000 บาท/คัน
1.2 สิทธิลดอัตราอากรขาเข้าไม่เกินร้อยละ
40 (สำหรับรถที่มีการนำเข้าในช่วงปี 2567 - 2568)
1.3 สิทธิลดภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8
เหลือร้อยละ 2 ในปี 2567 - 2570
2. รถยนต์นั่ง
(ราคาตั้งแต่ 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7
ล้านบาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50
kwh ขึ้นไป จะได้รับสิทธิลดภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ
8 เหลือร้อยละ 2
3. รถกระบะ (เฉพาะที่ผลิตภายในประเทศ และราคาไม่เกิน
2 ล้านบาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kwh ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท/คัน
และได้รับสิทธิลดอัตราภาษีสรรพสามิตเหลือร้อยละ 0 ในปี 2567 - 2568
และอัตราภาษีร้อยละ 2 ในปี 2569 - 2570
4. รถจักรยานยนต์ (เฉพาะที่ผลิตภายในประเทศ และราคาไม่เกิน
150,000 บาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่
3 kwh
ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุน 10,000
บาท/คัน และได้รับสิทธิลดอัตราภาษีสรรพสามิต เหลือร้อยละ
1 ในปี 2567 - 2570
นอกจากนี้
ยังมีการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการนี้ ต้องผลิตรถยนต์ เพื่อชดเชยการนำเข้าภายในปี 2569
ในอัตราส่วน 1 : 2 ของจำนวนนำเข้าในช่วงปี 2567 – 2568 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 2
คัน) หรือผลิตชดเชยการนำเข้าภายในปี 2570 ในอัตราส่วน 1 : 3 (นำเข้า 1 คัน
ผลิตชดเชย 3 คัน) เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศ
และผลักดันไทยให้เป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค
สำหรับแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้นำเข้าหรือผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมมาตรการ
EV3.5 ต้องดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1)
ต้องยื่นหนังสือแจ้งความประสงค์ขอรับสิทธิฯ และมีการทำข้อตกลง (MOU) ให้เป็นผู้ที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3.5
ร่วมกับกรมสรรพสามิต
2)
เมื่อได้รับการอนุมัติสิทธิแล้ว
ผู้ขอใช้สิทธิจะต้องได้รับอนุมัติราคาขายปลีกแนะนำและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติยานยนต์ไฟฟ้าก่อนเริ่มขายรถรุ่นนั้น
ๆ
3)
กรณีนำเข้า ผู้นำเข้าต้องปฏิบัติตามข้อ 1 และ 2 ให้แล้วเสร็จก่อนการนำเข้า
จึงจะสามารถนำยานยนต์ไฟฟ้ามาขอรับสิทธิทางภาษีได้
4)
การขอรับเงินอุดหนุนหลังจากการจำหน่ายและจดทะเบียนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตกำหนด
5)
สิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงเงื่อนไขการผลิตชดเชย บทลงโทษ
ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ ตามมาตรการ EV3.5
ให้เป็นไปตามที่กรมสรรพสามิตกำหนด
สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าที่เคยได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3 อยู่แล้ว แต่ไม่สามารถจำหน่ายได้ทันภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566
และประสงค์ที่นำยานยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวมารับสิทธิตามมาตรการ EV3.5
สามารถกระทำได้ โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้
1)
ผู้ขอรับสิทธิต้องยื่นหนังสือแจ้งความประสงค์ขอรับสิทธิฯ และมีการทำข้อตกลง (MOU) เพื่อเป็นผู้ได้สิทธิตามมาตรการ EV3.5
และต้องได้รับอนุมัติราคาขายปลีกแนะนำและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติยานยนต์ไฟฟ้าที่ก่อนเริ่มจำหน่าย
2)
หลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ผู้ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3
ต้องยื่นหนังสือเพื่อแจ้งจำนวนคงเหลือของยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิตาม EV3 แต่ไม่สามารถจำหน่ายได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ให้กรมสรรพสามิตทราบ
ก่อนลงนามข้อตกลง EV 3.5 กับกรมสรรพสามิต
3) ยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิตาม EV3 แต่ประสงค์จะนำมาเข้าร่วมมมาตรการ
EV 3.5 จะยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีตามมาตรการ EV3 แต่เงินอุดหนุนและเงื่อนไขการผลิตชดเชย ตลอดจนบทลงโทษ และเงื่อนไขอื่น ๆ
ให้เป็นไปตามมาตรการ EV3.5
สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าที่เคยได้รับสิทธิตามมาตรการ
EV3 แต่ไม่สามารถจำหน่ายได้ภายในวันที่ 31ธันวาคม 2566 และไม่ประสงค์ที่นำยานยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวมารับสิทธิตามมาตรการ EV3.5 ต่อ
จะยังคงมีภาระในการผลิตชดเชยการนำเข้าตามเงื่อนไขของมาตรการ EV3 โดยไม่ต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีที่ได้รับไปแล้ว
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต
เปิดเผยเพิ่มเติมว่า
เพื่อให้การดำเนินการเปลี่ยนผ่านจากมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า EV3 ไปสู่ EV3.5 เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่ภาครัฐกำหนด กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
ข้อปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนมาตรการ EV 3.5 ในทุก
ๆ ด้าน เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล
และตามยุทธศาสตร์กรมสรรพสามิต ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยภาษีสรรพสามิต
มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อเดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน
สำหรับผู้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่กรมสรรพสามิต
หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ www.excise.go.th