ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2566 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังแถลงว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance Ministers’ and Central Bank
Governors’ Meeting: AFMGM+3) ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่
2 พฤษภาคม 2566 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี โดยได้ร่วมหารือและแสดงความเห็นในประเด็นเศรษฐกิจและความร่วมมือทางการเงินของภูมิภาคอาเซียน+3 สรุปได้
ดังนี้
1.ที่ประชุมได้หารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคโดยผู้แทนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ธนาคารพัฒนาเอเชีย
(Asian Development Bank: ADB) และสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3
(ASEAN+3 Macroeconomic Research Office: AMRO) ต่างเห็นพ้องว่า
เศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียน+3 ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องจาก การเปิดเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
โดย IMF
คาดการณ์ว่า ในปี 2566 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.8
ในขณะที่เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.6 และคาดว่า ในปี 2567
เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 และร้อยละ 4.4 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 องค์กร ได้ให้ความเห็นว่า
เศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+3 ยังคงเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะจากอัตราเงินเฟ้อ
หนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น และความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเงินโลก ด้วยเหตุนี้
อาเซียน+3 ต้องมีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน
การดำเนินโยบายการคลัง เพื่อสนับสนุนกลุ่มเปราะปราง
รวมทั้งความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาลและเอกชนในการระดมทุนสำหรับโครงการ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้นำเสนอที่ประชุมให้ทราบถึงสถานการณ์และทิศทาง เศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าในปี 2566 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.6
ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 2.6 ในปี 2565 สืบเนื่องจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวที่เข้ามามากกว่า 6
ล้านคนในไตรมาสแรก ของปี 2566 นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงสู่เป้าหมายที่ร้อยละ 2.8
จากร้อยละ 1 – 3 ในเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 15 เดือน
2. ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าของการปรับปรุงเอกสารแนวปฏิบัติของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative
Multilateralisation: CMIM) เพื่อให้สมาชิกสามารถให้ความช่วยเหลือ ทางการเงินภายใต้ CMIM ด้วยเงินสกุลท้องถิ่นและสกุลเงินอื่น
ๆ ของประเทศสมาชิกได้ และให้การรับรองแผนงาน การทบทวนความตกลง CMIM (Periodic Review) ครั้งที่ 2 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการในการปรับปรุงโครงสร้างความช่วยเหลือทางการเงินของภูมิภาค (Regional Financial Architecture) เพื่อบรรเทา ป้องกัน
และแก้ไขวิกฤตการณ์ในอนาคต โดยที่ประชุมสนับสนุนการพัฒนากลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน แบบเร่งด่วนเพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินได้มากขึ้นและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน+3 จัดทำข้อเสนอรูปแบบของกลไกความช่วยเหลือ ทางการเงินแบบเร่งด่วนและแผนงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานของ AMRO และได้เห็นชอบนโยบายความคิดริเริ่มต่าง
ๆ ที่จะดำเนินการในอนาคตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ
AMRO อาทิ แผนการดำเนินงานระยะกลาง
(Medium-term Implementation Plan: MTIP) สำหรับปี 2566 –
2568 การจัดตั้งศูนย์ความรู้ระดับภูมิภาค
เครือข่ายคลังสมองอาเซียน+3
การสนับสนุนงานด้านเลขานุการให้แก่ความร่วมมือทางการเงินอาเซียน+3 และแนวทางการเสริมสร้าง ธรรมภิบาลของผู้บริหารเพื่อยกระดับการกำกับดูแลของ AMRO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
4. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินการตามแผนระยะกลางของมาตรการริเริ่มพัฒนา ตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) สำหรับปี 2562 – 2565 และให้การรับรองแผนงาน ระยะกลางใหม่ของ ABMI สำหรับปี 2566 – 2569 ที่ประกอบด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่
(1) การส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืน ในระดับภูมิภาค
(2) การปรับปรุงการกำกับดูแลตลาดและพัฒนากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมข้ามพรมแด
(3) การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการวมตัวของตลาดการเงินอาเซียน+3
(4) การส่งเสริมสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้โดยใช้สกุลเงินท้องถิ่นเพื่อลดความเสี่ยงจากธุรกรรมข้ามพรมแดน และ
(5) การสนับสนุน การพัฒนาตลาดตราสารหนี้สกุลเงินท้องถิ่น
5. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าทิศทางการดำเนินการในอนาคตของกรอบความร่วมมือทางการเงินอาเซียน+3
ได้แก่ การจัดหาเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน
การพัฒนากลไกเพื่อรองรับปัญหาด้านมหภาคและปัญหาเชิงโครงสร้าง
การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงินเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ
และการส่งเสริมความร่วมมือ ด้านนโยบายเพื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นอกจากนี้
ที่ประชุมได้เห็นชอบให้เรื่องการทำธุรกรรมและชำระเงิน ข้ามพรมแดนด้วยสกุลเงินท้องถิ่นในภูมิภาค การพัฒนาหนี้ภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยง
การพัฒนาฐานข้อมูลหนี้ครัวเรือน
และการปฏิรูปนโยบายเพื่อรองรับการเงินเพื่อความยั่งยืนในภูมิภาคเป็นหัวข้อในการศึกษาภายใต้ความร่วมมือ ทางการเงินใหม่ของอาเซียน+3
นอกจากนี้ ในช่วงเช้าของเมื่อวันที่ 2
พฤษภาคม 2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
– ญี่ปุ่น ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน
– ญี่ปุ่น เพื่อหารือถึงการยกระดับความร่วมมือทางการเงินระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้น ยิ่งขึ้น รวมทั้งได้เข้าร่วมกล่าวปาฐกถาในงานเปิดตัวรายงาน เรื่อง
“แนวทางการจัดหาเงินทุนใหม่ ๆ
เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นในอาเซียน+3” (Reinvigorating Financing Approaches for Sustainable and Resilient Infrastructure in ASEAN+3) ที่จัดทำโดย ADB
ซึ่งรายงานดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการกำหนด แนวทางการจัดทำนโยบายเพื่อพัฒนากลไกและนวัตกรรมทางการเงินเพื่อส่งเสริมการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนของประเทศสมาชิกอาเซียน+3
ในระยะยาวต่อไป
อนึ่ง
ในช่วงบ่ายของวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้หารือทวิภาคีกับ H.E.
Indranee Thurai Rajah รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนที่สอง
สาธารณรัฐสิงคโปร์ และนาย Phouthanouphet Saysombath รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการเงิน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในประเด็นเศรษฐกิจและการยกระดับความร่วมมือระหว่างกัน
อาทิ การส่งเสริมการค้าการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และพัฒนาความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงทางกายภาพและดิจิทัล