สนพ. เผยราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเดือน ธ.ค. 66 ปรับตัวลดลงในรอบ 6 เดือนของปี 66 เหตุจากความต้องการใช้พลังงานที่ซบเซาในสหรัฐอเมริกาและจีน
นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า
สนพ. ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกในเดือนธันวาคม 2566 พบว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน
โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ ราคาน้ำมันดิบปรับลดสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์พลังงานที่ซบเซาในสหรัฐอเมริกาและจีน
ซึ่งนักลงทุนคาดว่าการปรับลดกำลังการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
จนถึงไตรมาสแรกของปี 2567 ของกลุ่มโอเปกพลัส อาจไม่เพียงพอ
เมื่อเทียบกับอุปสงค์ความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกที่ยังคงอ่อนแอ ขณะที่รัสเซียเพิ่มขึ้นหลังสภาพอากาศปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ได้เปิดเผยถึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับกว่า
13ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งสำนักงานสถิติแห่งชาติ
(NBS) ของจีนเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ปรับลดลงร้อยละ 0.5 และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI)
ปรับลดลงร้อยละ3.0 เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเงินฝืดที่รุนแรงขึ้น
และความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
นายวีรพัฒน์ กล่าวว่า ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่น่าจับตามองในด้านต่าง
ๆ อาทิ ตลาดยังคงจับตาสถานการณ์ความไม่แน่นอนในทะเลแดง ภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด
ภายหลังกองกำลังฮูตี (Houthi)
โจมตีเรือบรรทุกสินค้าทุกลำที่มุ่งหน้ามายังอิสราเอลผ่านทะเลแดง
ส่งผลให้ตลาดมีความกังวลถึงผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบและน้ำมัน สำเร็จรูป เนื่องจากบริษัทรายใหญ่
ได้แก่ BP, MSC และ Maersk ปรับเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งน้ำมันผ่านทะเลแดงไปเป็นเส้นทางผ่านแหลมกู๊ดโฮป
ซึ่งจะใช้เวลานานมากขึ้นกว่า 10 วัน ทำให้ค่าขนส่งเรือ Suezmax
สูงขึ้นร้อยละ 29 อย่างไรก็ตาม
ผลกระทบยังถือว่าอยู่ในพื้นที่จำกัด ซึ่งสหรัฐฯ และหลายประเทศได้ร่วมกันจัดตั้งปฏิบัติการเพื่อปกป้องการค้าในทะเลแดง
และบริเวณอ่าวเอเดนเพื่อป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีน
หลังบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน มูดีส์ (Moody's) ปรับลดความน่าเชื่อถือจากทรงตัวเป็นเชิงลบ
เนื่องจากความกังวลทิศทางเศรษฐกิจและวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีน
โดยสัดส่วนเงินกู้จีนต่อ GDP อยู่ที่ระดับร้อยละ 303 ขณะที่ตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2567 - 2568 จะเติบโตที่ระดับร้อยละ 4
และการเติบโตมีแนวโน้มหดตัวลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.8 ในปี 2569
-2570
“สำหรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลของประเทศไทยและต่างประเทศ
ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2566 พบว่า ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน
ประเทศสิงคโปร์มีระดับสูงสุดในกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 73.38 บาทต่อลิตร ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 5 ของกลุ่มอาเซียน
อยู่ที่ระดับ 35.55 บาทต่อลิตร
ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลนั้น ประเทศสิงคโปร์ มีระดับสูงสุดในกลุ่มอาเซียน
อยู่ที่ระดับ 68.41 บาทต่อลิตร ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 7
ของกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 29.94 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับโครงสร้าง มาตรการด้านภาษี และนโยบายการชดเชยราคาน้ำมันของประเทศนั้น ทั้งนี้
สนพ. จะติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อสามารถบรรเทาผลกระทบด้านราคาพลังงานต่อประชาชนในระยะต่อไป”
ผอ.สนพ. กล่าว