ราช กรุ๊ป รุกธุรกิจในออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เล็งขยายลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าทั้งกรีนฟิลด์และแบบซื้อกิจการ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เดินหน้าธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยปีนี้มุ่งพัฒนาและลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วและโครงการใหม่
ในออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เป็นหลัก ขณะเดียวกันก็มีการขยายธุรกิจนอกภาคผลิตไฟฟ้า
และธุรกิจเชื้อเพลิงอนาคต เช่น เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อร่วมลงทุนในลงทุน
2 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้
แนวทางดังกล่าวนี้จะทำให้บริษัทฯ มีกระแสเงินสดและรายได้สม่ำเสมอและมั่นคงยิ่งขึ้น
นางสาวชูศรี
เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแผนการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในออสเตรเลีย
เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อย่างต่อเนื่อง
โดยมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโรงไฟฟ้าใหม่และพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในพอร์ตการลงทุน
ซึ่งดำเนินการแล้วกว่า 10 โครงการ นอกจากนี้ ยังเน้นการบริหารโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างให้แล้วเสร็จและเดินเครื่องได้ทันกำหนดเวลาตามที่สัญญาระบุไว้
โดยมีกำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุนรวม 2,918.23
เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2567 – 2576 สำหรับในปี 2567 บริษัทฯ
จะมีกำลังการผลิตเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นอีก 459 เมกะวัตต์ จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง
ชุดที่ 1 กำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุน 392.70 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าอาร์อีเอ็น
โครงการโรงไฟฟ้าสหโคเจนใหม่ และโครงการโรงผลิตไฟฟ้านวนครส่วนขยายระยะที่ 3 สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง ชุดที่ 1 ซึ่งบริษัทฯ
รับรู้กำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุน 392.70 เมกะวัตต์ มีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม
2567 ปัจจุบัน ได้ดำเนินการจัดหาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเหลว ผ่านทางบริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง
จำกัด ซึ่งได้ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว ระยะเวลา 3 ปี กับบริษัท Gunvor Singapore Pte.
Ltd. โดยจะมีการส่งมอบในปริมาณปีละ 0.5 ล้านตัน
และการส่งมอบครั้งแรกจะดำเนินการในเดือนมีนาคม 2567
“ประเทศออสเตรเลีย
ถือเป็นฐานธุรกิจด้านพลังงานทดแทนที่สำคัญ โดยมีบริษัท ราช-ออสเตรเลีย
คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาและลงทุน บริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพและโอกาสที่จะขยายการลงทุนด้านพลังงานทดแทนและการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเสริมความเชื่อถือและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในช่วงที่ออสเตรเลียกำลังจะเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี
2593 บริษัทฯ
ศึกษาเพื่อพัฒนาโครงการที่จะสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานสะอาดและความมั่นคงระบบไฟฟ้าของออสเตรเลีย
ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพมาก โดยมีแนวคิดยกระดับสินทรัพย์โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเพื่อให้บริการผลิตไฟฟ้าเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า
ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาและคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์
152 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน 81 เมกะวัตต์ ในรัฐนิวส์เซาท์เวลส์ ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการพลังงานลมขนาดใหญ่
ประมาณ 120 เมกะวัตต์ ในรัฐควีนส์แลนด์ ตลอดจนการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานขนาด 100 เมกะวัตต์
เพื่อกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตพลังงานทดแทนและจำหน่ายผ่านระบบสายส่ง ส่วนเวียดนาม
บริษัทฯ ได้ศึกษาศักยภาพและโอกาสการลงทุนจากจากแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 8
ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตถึง 150 กิกะวัตต์ โดยร้อยละ 40
จะเป็นพลังงานทดแทน ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ดำเนินการผ่านบริษัทร่วมทุนในการขยายฐานธุรกิจโดยมีการศึกษาและพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
อีกทั้งยังมีแผนที่จะเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วเช่นกัน
สำหรับฟิลิปปินส์ บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์เนโกรส
ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2567 โครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง ในอ่าวซานมิเกล
และโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งลูเซียน่า บนเกาะลูซอน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นตอนก่อสร้างได้ในปี
2568 บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า แผนงานดังกล่าวจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงแก่ผู้ถือหุ้น
ผู้มีส่วนได้เสีย ตลอดจนสร้างสรรค์ประโยชน์สู่สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว” นางสาวชูศรี
กล่าว
สำหรับ
แนวโน้มในอนาคต บริษัทฯ ยังคงยึดธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นธุรกิจหลักในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยการพัฒนาธุรกิจและลงทุน จะมุ่งขับเคลื่อนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในเวียดนาม
ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย พร้อมทั้งจะขยายไปสู่ตลาดแห่งใหม่ โดยเน้นประเทศที่พัฒนาแล้ว
และให้น้ำหนักการลงทุนทั้งแบบกรีนฟิลด์และการซื้อกิจการให้มีความสมดุลเพื่อบริหารกระแสเงินสดและรายได้ของบริษัทฯ
โดยบริษัทฯ มุ่งหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตปีละไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์ ส่วนการบริหารโครงการและสินทรัพย์
เน้นการบริหารงบประมาณโครงการและก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาของสัญญา รวมทั้งจัดการประสิทธิภาพและต้นทุนการผลิตของโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องด้วย
นอกจากนี้ยังจะให้ความสำคัญกับการบริหารกระแสเงินสด ต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ
เพื่อให้เป้าหมาย EBITDA เติบโตถึง 12,000 ล้านบาท