เดอะวิสดอมกสิกรไทยเจาะลึกสัญญาณเศรษฐกิจทั่วโลก เปิดโผโอกาสลงทุนไทย - ต่างประเทศ
เดอะวิสดอมกสิกรไทยเจาะลึกสัญญาณเศรษฐกิจทั่วโลก
เปิดโผโอกาสลงทุนไทย - ต่างประเทศ
บทสรุปสำคัญจากงานสัมมนาแห่งปี
“THE WISDOM Wealth Forum: Thailand 2024 Investment Opportunity Redefined” ที่จัดสำหรับลูกค้าเดอะวิสดอมกสิกรไทย เจาะลึกเมื่อเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ปี 2567
จะไปในทิศทางไหน ความเสี่ยงและโอกาสของประเทศไทยพร้อมทิศทางการลงทุน
จากการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
พร้อมด้วยทีมผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย และ เจพี มอร์แกน แอสเสท แมเนจเม้นท์ พันธมิตรด้านการลงทุนระดับโลก
นายรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์
กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สิ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่งท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลกคือ
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาต่อเนื่อง ทำให้ชีวิตของผู้คนง่ายขึ้น ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีมากมายมาช่วยอำนวยความสะดวก
แต่การลงทุนในยุคนี้กลับคาดการณ์ได้ยากมากขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีความเสี่ยงก็เท่ากับไม่มีโอกาส
สิ่งสำคัญของการลงทุนคือ การตัดสินใจที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม ถูกที่ ถูกเวลา จึงจะสามารถเอาชนะตลาดได้
จับตา 3
ปัจจัยส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย
ดร. ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์
ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึง เศรษฐกิจไทยยังไปต่อได้
แม้ไม่ได้เร่งเท่าเดิม ภาคธุรกิจต้องปรับตัวไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ของโลกให้ได้
ผลิตในสิ่งที่โลกต้องการ ปรับโครงสร้างธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ประกอบด้วย
3 ด้าน ได้แก่
1)
ความเสี่ยงด้านศักยภาพการแข่งขันในภาคการผลิต
เช่น ภาคการเกษตรที่ส่วนแบ่งการตลาดหายไปถึง 20% สิ่งทอเครื่องนุ่งห่มที่ถูกตีตลาดจากจีนด้วยต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า
ในเวลาเดียวกัน ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาคการผลิตในอุตสาหกรรมที่สำคัญของโลก เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
เซมิคอนดักเตอร์ ปัจจัยเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต
2)
ภาคการท่องเที่ยว
เศรษฐกิจไทยพึ่งพากับการท่องเที่ยวเป็นหลัก ถึงแม้ว่าในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 28.2 ล้านคน (เพิ่มขึ้นจากปี 2565
ที่มี 11.5 ล้านคน) แต่พบว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวต่อคนในปี 2566
ลดลงจากค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 44,000 บาทต่อคน
เหลือเพียง 36,000 บาทต่อคน
ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลง
3) การใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุน และพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ที่ล่าช้าถึง 6 เดือน งบลงทุนที่หายไปส่งผลให้จีดีพีลดลงประมาณ 0.8%
เศรษฐกิจสหรัฐฯ
แกร่งยืนหนึ่ง จีนชะลอตัวจากหลายปัจจัยกดดัน
นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
กสิกรไทย จำกัด ให้มุมมองว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยเฉพาะภาคการบริโภค
ในขณะที่อัตราการว่างงานเหลือเพียง 3.9% ซึ่งต่ำกว่าช่วงก่อนสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 โดยสหรัฐฯ ได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การผลิตเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจในประเทศต้องหยุดชะงักเพราะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
จาก “Offshoring” ที่หมายถึงการย้ายการผลิตไปยังประเทศที่ต้นทุนการผลิตต่ำ
มาสู่ยุทธศาสตร์ “Reshoring” หมายถึงการนำเอากระบวนการผลิตส่วนที่สำคัญกลับคืนมาประเทศตัวเอง
พร้อมกันนี้ยังได้กำลังสนับสนุนจากเม็กซิโกซึ่งมีแรงงานทักษะข้ามมาทำงานในสหรัฐฯ โดยในปี
2563-2564 ได้มีการจ้างงานในประเทศกว่า 700,000 ตำแหน่ง และเพิ่มเป็น 1 ล้านตำแหน่งในปี 2566 ส่งผลให้ มีแรงงานรวมกว่า 160 ล้านคน และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ทำให้อัตราการว่างงานลดลง 0.6 – 0.7% นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากบริษัทเทคฯ
ยักษ์ใหญ่ ที่นำ AI มาใช้จริง มีผู้ใช้งานหลายล้านรายทั่วโลก
Mr.
Tai Hui, Managing Director, Chief Market Strategist, Asia Pacific, J.P. Morgan
Asset Management กล่าวถึงเศรษฐกิจของจีนว่ายังมีความท้าทาย
ไม่น่าเติบโตได้ร้อนแรงเท่าแต่ก่อน โดยมีภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นปัจจัยกดดันที่สำคัญ
รวมถึงมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเกินความต้องการของตลาด (Oversupply) นอกจากนี้นโยบายที่ไม่ชัดเจนของภาครัฐยังส่งผลต่อความมั่นใจของนักธุรกิจและนักลงทุน
แต่ยังมีปัจจัยบวกคือภาคการบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่งจากจำนวนประชากรมหาศาล และมีกลุ่มธุรกิจที่ยังเติบโตต่อได้
เช่น พลังงาน การเงินธนาคาร
ปีทองของหุ้นขนาดกลางและเล็ก
ยกหุ้นสหรัฐเด่น อินเดีย-อินโดนีเซีย-ซาอุดิอาระเบีย
น่าลงทุน
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์
กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงทรงตัว
โดยคาดว่าจะมีโอกาสย่อตัวอีกในราวเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน จากปัจจัยเงินบาทอ่อนค่า
เกิดเงินทุนไหลออก (Capital Outflow) แนะนำเลือกหุ้นที่อยู่ในวงจรที่สามารถเอาชนะตลาดได้ จุดสังเกตหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยว
หรือภาคเกษตรกรรมที่เป็นกลุ่มเศรษฐกิจยุคเก่า (Old Economy) โดยปีนี้ถือเป็นปีทองของหุ้นในธุรกิจขนาดกลางและเล็ก เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
สำหรับการลงทุนในระยะกลาง-ยาว แนะนำให้จัดสัดส่วนการลงทุนคือ กระจายลงทุนตลาดหุ้นไทย 30% ตลาดหุ้นต่างประเทศ 30% โดยให้น้ำหนักที่สหรัฐ 40% และตลาดที่น่าจับตาคือ อินเดีย อินโดนีเซีย และซาอุดิอาระเบีย และที่เหลือกระจายลงทุนในกองทุน Fixed Income และเงินสดหน้า 2 จาก-3-
กองทุน
“K-WealthPLUS
Series” โซลูชันการลงทุนแบบ Multi-Asset เพื่อเอาชนะตลาดผันผวน
Ms. Jin Yuejue, Asia Head of the
Investment Specialist, Multi-Asset Solution group, J.P. Morgan Asset Management กล่าวว่า
ความร่วมมือระหว่างบลจ. กสิกรไทย และ JPMAM
เป็นการผสานศักยภาพของบลจ. กสิกรไทย ที่มีความเข้าใจเชิงลึกต่อสินทรัพย์และสถานการณ์การลงทุนในไทย
รวมกับ JPMAM
ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารการลงทุนระดับโลก ทำให้ “K-WealthPLUS
Series” เป็นโซลูชันการลงทุนที่ตอบโจทย์ในภาวะตลาดผันผวน
คัดสรรและกระจายลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากทั้งในไทยและทั่วโลก
โดยยังคงแนวคิดเรื่องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนผ่านกลยุทธ์ Multi-Asset
กองทุน K-WealthPLUS Series สามารถเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่รับได้
มี 3 กองทุน ได้แก่
1.
K-WPBALANCED มีสัดส่วนในหุ้นประมาณ
30% เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มลงทุน เน้นความมั่นคงของพอร์ต
2.
K-WPSPEEDUP มีสัดส่วนในหุ้นประมาณ
65% เหมาะกับคนที่รับได้เสี่ยงได้ปานกลาง
ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จากสัดส่วนหุ้นที่เพิ่มขึ้น
แต่ยังไม่อยากให้พอร์ตเหวี่ยงมากเกินไป
3.
K-WPULTIMATE มีสัดส่วนในหุ้นประมาณ 85%
เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากตลาดหุ้นทั่วโลก
*ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง
ก่อนตัดสินใจลงทุน